แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1 เป็นทนายความว่าต่าง จำเลยที่ 1มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นทนายความดำเนินคดีแทน ถึงวันนัดจำเลยที่ 2 ไม่ไปศาลเพราะจดวันนัดผิด ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีดังนี้เพื่อความไม่ประมาท จำเลยที่ 2 จะต้องจดวันนัดสืบพยานจากรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้ การที่จำเลยที่ 2 จำวันนัดสืบพยานผิดพลาดจึงเป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 2เอง หาได้เกิดจากเหตุสุดวิสัยไม่ การฟ้องคดีนี้ไม่มีบทกฎหมายใดที่บังคับให้โจทก์ต้องบอกกล่าวแก่จำเลยก่อนฟ้อง ดังนั้น โจทก์จะบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นทนายความและเป็นเจ้าของสำนักงานส่วนจำเลยที่ 2 เป็นทนายความประจำสำนักงานของจำเลยที่ 1 โจทก์ได้ตกลงว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 เป็นทนายความว่าต่างให้แก่โจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 12882/2526 ของศาลศาลชั้นต้น โดยจำเลยที่ 1 ได้เรียกเงินเป็นค่าจ้างว่าความและค่าใช้จ่ายชั้นต้น 5,000 บาท ซึ่งโจทก์ก็ได้ชำระให้แก่จำเลยที่ 1 เรียบร้อยแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการแทนจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 2เป็นทนายโจทก์ดำเนินการฟ้องคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าววันนัดสืบพยาน จำเลยที่ 2 ไม่ไปศาลตามกำหนด โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้ศาลถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ หลังจากศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีแล้ว คดีของโจทก์ขาดอายุความ ไม่สามารถที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ได้ ดังนั้น จำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นทนายผู้รับผิดชอบในคดีดังกล่าวจะต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ได้ฟ้องไปในคดีดังกล่าวจำนวนเงิน 121,067 บาท และค่าจ้างว่าความที่โจทก์ได้จ่ายให้แก่จำเลยทั้งสองไปจำนวน 5,000 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 126,067 บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงิน 126,067 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงรับจ้างเป็นทนายความว่าต่างให้แก่โจทก์ และไม่เคยรับค่าใช้จ่ายจากโจทก์ตามฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่เคยมอบหมายให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการเป็นทนายความแทนจำเลยที่ 1 ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมศาลตามเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยที่ 1 ลงนามรับแทนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 มิได้เกี่ยวข้องกับความประมาทของจำเลยที่ 2 ที่จดวันนัดสืบพยานผิดพลาด โจทก์มิได้รับความเสียหายในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 12882/2526 ของศาลชั้นต้นโจทก์เรียกค่าเสียหายในคดีดังกล่าวเกินความเป็นจริง ความจริงโจทก์เสียหายไม่เกิน 10,000 บาท โจทก์มิได้บอกกล่าวก่อนฟ้องคดีนี้
จำเลยที่ 2 ให้การว่า เงินจำนวน 5,000 บาทตามฟ้อง มิใช่ค่าทนายความ แต่เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีและค่าธรรมเนียมศาลจำเลยที่ 2 ได้ใช้จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมศาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ หมดไปแล้ว จำเลยที่ 2 ยินดีชดใช้คืนเงินจำนวน 5,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง การผิดพลาดเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัย โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเกินความเป็นจริง ความจริงโจทก์เสียหายไม่เกิน 5,000 บาท โจทก์มิได้บอกกล่าวก่อนฟ้องคดีนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายจำนวน 70,000บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอทธรณ์ โดยจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 เป็นทนายความว่าต่างให้แก่โจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 12882/2526 หมายเลขแดงที่ 2016/2527 ของศาลชั้นต้นโจทก์มอบเงินค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมศาลให้แก่จำเลยที่ 1 รับไปเป็นจำนวน 5,000 บาท จำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นทนายความดำเนินคดีแทน ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานวันที่ 7 มีนาคม 2527 แต่จำเลยที่ 2 จดวันนัดผิดพลาดเป็นวันที่ 27 มีนาคม 2527 ถึงวันนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทนายความของโจทก์ไม่ไปศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีในคดีแพ่งดังกล่าวโจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนางวารุณี ศรียานนท์ กับพวก เป็นจำนวน 121,067 บาท
ข้อที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานวันที่ 7มีนาคม 2527 จำเลยที่ 2 ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ศาลว่าานัดสืบพยานวันที่ 27 มีนาคม 2527 จำเลยที่ 2 จึงจำวันนัดสืบพยานผิดพลาดอันเป็นเหตุสุดวิสัยนั้น เห็นว่า เพื่อความไม่ประมาท จำเลยที่ 2จะต้องจดวันนัดสืบพยานจากรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นบันทึกไว้การที่จำเลยที่ 2 จำวันนัดสืบพยานผิดพลาด จึงเป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 2 เองหาได้เกิดจากเหตุสุดวิสัยไม่
จำเลยที่ 2 ฎีกาต่อมาว่า ก่อนฟ้องโจทก์ไม่ได้บอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรให้จำเลยที่ 2 ทราบ ถือว่าไม่มีการบอกกล่าวที่ถูกต้อง ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า กรณีแห่งคดีนีไม่มีบทกฎหมายใดที่บังคับให้โจทก์ต้องบอกกล่าวแก่จำเลยก่อนฟ้องดังนั้น โจทก์จะบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด
พิพากษายืน.