แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อตกลงในสัญญากู้เงินที่ผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้มีสิทธิขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ตามที่เห็นสมควรแต่ไม่เกินกว่าอัตราดอกเบี้ยที่กฎหมายกำหนดแม้ผู้กู้จะมิได้ผิดนัดชำระหนี้ไม่ใช่ข้อตกลงที่เป็นเบี้ยปรับ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและบังคับจำนองจำนวน 505,925.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ18 ต่อปี จากต้นเงิน 301,390.95 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 435,648.42 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินจำนวน301,047.49 บาท นับตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2536 โดยให้เปลี่ยนเป็นต้นเงิน 301,390.49 บาท นับตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2538เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์ ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่สัญญากำหนดให้โจทก์มีสิทธิขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ตามที่เห็นสมควรแต่ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เรียกเก็บได้ ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับหรือไม่สัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 2 มีใจความว่า ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้เป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปีโดยจะชำระให้ผู้ให้กู้ภายในวันที่สิ้นสุดของทุกเดือน และถ้าต่อไปผู้ให้กู้จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแล้วผู้กู้ยอมให้ผู้ให้กู้มีสิทธิขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ตามแต่จะเห็นสมควรโดยเพียงแต่แจ้งให้ผู้กู้ทราบเท่านั้น ผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้ตามที่แจ้งไปนั้นทุกประการโดยไม่โต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้นและหนังสือสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.6 ข้อ 1 มีใจความว่า ผู้จำนองตกลงจำนองที่ดินแปลงที่กล่าวข้างบนนี้ทั้งแปลงแก่ผู้รับจำนองเพื่อเป็นประกันหนี้สินทุกชนิดของนางศรีสกุล ชุมสาย ณ อยุธยาเป็นจำนวนเงิน 300,000 บาท โดยให้ดอกเบี้ยร้อยละ 16.5 ต่อปีหรืออัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดศาลฎีกาเห็นว่าเบี้ยปรับคือสัญญาซึ่งลูกหนี้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร แต่ตามสัญญากู้เงินหรือสัญญาจำนองกำหนดให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้แม้จำเลยผู้เป็นลูกหนี้จะมิได้ผิดนัดชำระหนี้ ดังนี้ข้อสัญญาดังกล่าวจึงมิใช่เบี้ยปรับการที่ศาลชั้นต้นลดอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 18 ต่อปี ลงเหลือร้อยละ 15 ต่อปี นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 505,925.55 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี แต่มิให้เกินอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ในต้นเงิน 301,390.49 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น