คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องให้ใช้เงินแก่โจทก์ตามราคาที่ดินขณะฟ้องส่วนที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่ดินที่ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายกันนี้เป็นเงินที่โจทก์ขาดประโยชน์เนื่องจากการที่จำเลยไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้เป็นของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายถือเป็นการเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาแม้จำเลยไม่ได้ให้การโต้แย้งจำนวนเงินค่าเสียหายดังกล่าวโจทก์ผู้กล่าวอ้างก็มีหน้าที่นำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายของโจทก์และศาลมีอำนาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้ตามที่สมควรดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน280,000บาทจึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนที่ดินตามฟ้องแก่โจทก์ ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาคร ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและหากจำเลยไม่อาจทำการแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์420,000 บาท โดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยผิดสัญญาต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันพิพากษาและให้โจทก์ชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือให้จำเลยด้วย หากไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติตามไม่ได้เพราะเหตุนอกเหนือกรณี ให้จำเลยใช้เงินหรือราคาที่ดินให้โจทก์ 420,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยชดใช้เงินหรือราคาที่ดินแก่โจทก์ เป็นเงิน 280,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องโจทก์ระบุว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยเมื่อปี 2528 ในราคา 105,000 บาทต่อมาโจทก์ผ่อนชำระราคาให้จำเลยตามสัญญาแล้ว แต่จำเลยผิดสัญญาไม่จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากไม่อาจจดทะเบียนโอนให้ได้ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามราคาที่ดินขณะฟ้อง (ปี 2533) เป็นเงิน420,000 บาท ราคาที่ดินขณะฟ้องนี้ส่วนที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่ดินที่ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายกันเป็นเงินที่โจทก์ขาดประโยชน์เนื่องจากการที่จำเลยไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดินให้เป็นของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขาย จึงถือเป็นการเรียกค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา แม้จำเลยไม่ได้ให้การโต้แย้งจำนวนเงินค่าเสียหายดังกล่าว โจทก์ผู้กล่าวอ้างก็มีหน้าที่นำสืบถึงจำนวนค่าเสียหายของโจทก์ และศาลมีอำนาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้ตามที่สมควร ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 280,000 บาท จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลชั้นต้นตามที่โจทก์ฎีกาแต่อย่างใด
พิพากษายืน

Share