แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นจำเลยในข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ในที่นาของโจทก์คดีนี้จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าโจทก์เป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนพระภิกษุ ท. บิดาโจทก์จำเลยตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.1ที่โจทก์ทำไว้กับพระภิกษุ ท. ศาลในคดีอาญาฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ทำหนังสือเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริง จำเลยทั้งสองเข้าไปทำนาในที่ดินพิพาทโดยเชื่อว่ามีสิทธิเข้าไปทำได้โดยสุจริต จึงไม่มีเจตนาบุกรุก พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นคดีนี้หาว่าบุกรุกที่ดินพิพาทในคดีอาญาและที่ดินแปลงอื่นจนเต็มพื้นที่ การบุกรุกตามฟ้องในคดีอาญากับคดีนี้เป็นการบุกรุกในช่วงเวลาเดียวกัน จึงเป็นการบุกรุกในคราวเดียวกัน การฟ้องคดีนี้ส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทบริเวณเดียวกันกับในคดีอาญาจึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ข้อเท็จจริงในคดีนี้จึงต้องฟังตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญาว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนพระภิกษุ ท. โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่นา 2 แปลง และที่ดินปลูกบ้านอีก 1 แปลง ได้มาโดยการซื้อจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นเมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว ในคดีระหว่างนายทองใบ นามปัญญา โจทก์และนายทองพูน เมืองจันทร์ จำเลย ซึ่งแต่เดิมที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินของนายทองพูนบิดาโจทก์ เมื่อบิดาโจทก์แพ้คดีและมีการขายทอดตลาด โจทก์เป็นผู้ซื้อได้และได้ครอบครองที่ดินทั้งสามแปลงตลอดมา ทั้งได้ขอออก น.ส.3 ที่ดินทั้งสามแปลงในปี พ.ศ. 2520 ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวอยู่ที่หมู่ที่ 6ตำบลเมืองจันทร์ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อที่รวมกันแล้วประมาณ 20 ไร่ ครั้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกรกฎาคม 2527 จำเลยทั้งสามได้บุกรุกเข้าไปไถนาและปักดำในที่ดินของโจทก์ทั้งสามแปลง โดยที่นาตามสำเนา น.ส.3 ท้ายฟ้อง หมายเลข 1จำเลยทั้งสามบุกรุกเข้าไปทำนาเป็นเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ ทางด้านทิศตะวันออก ส่วนที่นาตามสำเนา น.ส.3 ท้ายฟ้องหมายเลข 2บุกรุกเข้าไปเต็มแปลง ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสองแปลง กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2รื้อบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์ หากไม่รื้อถอนให้โจทก์รื้อถอนเองโดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ และก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 2ที่ 3 และโจทก์เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินทั้งสามแปลง ความจริงที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นของนายทองพูน เมืองจันทร์ บิดาโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3ซึ่งปัจจุบันได้บวชเป็นพระภิกษุ ตอนที่พระทองพูนยังไม่ได้บวชได้พาบุตรทุกคนเข้าไปทำประโยชน์และครอบครองที่ดินพิพาทนั้นหลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้วก็ได้ให้โจทก์ซึ่งเป็นบุตรคนโตเป็นผู้พาน้องทุกคนทำประโยชน์และครอบครองที่ดินทุกแปลงตลอดมาจนถึงปี พ.ศ. 2520 ทางราชการได้เดินสำรวจออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศที่ดินบริเวณนั้นทุกแปลงพระภิกษุทองพูนจึงได้มอบให้โจทก์เป็นตัวแทนนำเจ้าหน้าที่มาออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แล้วให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือสิทธิครอบครองไว้แทนก่อนโจทก์กับพี่น้องทุกคนรวมทั้งจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ร่วมกันทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททุกแปลงตลอดมาและปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินส่วนของพระภิกษุทองพูนร่วมกันตลอดมา ที่โจทก์อ้างว่าซื้อที่ดินทั้งสามแปลงได้จากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นนั้นไม่เป็นความจริง ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงคงฟังได้เบื้องต้นว่า โจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นบุตรพระภิกษุทองพูน เมืองจันทร์กับนางสูญซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเดิมเป็นของพระภิกษุทองพูน ต่อมาโจทก์ได้ขอออกน.ส.3 เป็นชื่อของโจทก์แต่ผู้เดียว มีปัญหาวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่ โจทก์ฎีกาสรุปความสำคัญได้ว่า เอกสารหมาย ล.1 ที่มีข้อความให้โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเพื่อแบ่งให้น้อง ๆ ต่อไปนั้น เป็นเอกสารที่ทำปลอมขึ้น เห็นว่า ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 754/2528 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ในคดีนี้เป็นจำเลยในข้อหาบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ในที่นาของโจทก์คดีนี้ตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 1242 เอกสารหมาย จ.1จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าโจทก์เป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนตามหนังสือรับรองที่โจทก์ทำไว้กับพระภิกษุทองพูน เมืองจันทร์บิดาโจทก์ ตามภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.1 ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้ทำหนังสือตามภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.1 จริง จำเลยทั้งสองเข้าไปทำนาในที่ดินพิพาทโดยเชื่อว่ามีสิทธิเข้าไปทำได้โดยสุจริต จึงไม่มีเจตนาบุกรุก พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หาว่าร่วมกับจำเลยที่ 1บุกรุกที่ดินพิพาทแปลงเดียวกันรวมทั้งที่ดินแปลงอื่นในคดีนี้อีกพิจารณาแผนที่สังเขปแสดงที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 754/2528 กับที่ดินพิพาทตามภาพถ่าย น.ส.3 ก.เอกสารหมาย จ.1 คดีนี้ ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ประกอบกับคำเบิกความของโจทก์ว่าฝ่ายจำเลยบุกรุกเข้าไปทำนาทางทิศตะวันออกเป็นเนื้อที่ครึ่งหนึ่ง เห็นว่าบริเวณที่หาว่าบุกรุกเป็นบริเวณเดียวกัน เพียงแต่คดีนี้มีเนื้อที่เพิ่มขึ้นจนเต็มเนื้อที่ทางทิศตะวันออก ทั้งตามฟ้องในคดีอาญาดังกล่าวกับคดีนี้ก็เป็นการบุกรุกในช่วงเวลาเดียวกัน จึงเชื่อว่าเป็นการบุกรุกในคราวเดียวกัน การฟ้องคดีนี้ส่วนที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทบริเวณเดียวกันกับในคดีอาญาจึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวแม้ในคดีอาญาศาลชั้นต้นเพียงแต่วินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง แต่ศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงก่อนว่าโจทก์ได้ทำหนังสือรับรองตามภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริงแล้วจึงอาศัยข้อความในเอกสารดังกล่าวมาเป็นข้อวินิจฉัยถึงเจตนาของจำเลยในการกระทำความผิดทางอาญา ถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ทำหนังสือตามภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.1 ไว้จริงหรือไม่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญา เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งต่างเป็นคู่ความเดียวกันในคดีอาญาเป็นคดีนี้อีก และมีประเด็นโต้เถียงอย่างเดียวกันว่าเอกสารหมาย ล.1ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 754/2528 นั้นปลอมหรือไม่ ศาลฎีกาจึงถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วในคดีอาญาดังกล่าวว่าโจทก์ได้ทำหนังสือไว้ตามภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.1 จริง โจทก์จะโต้เถียงว่าเป็นเอกสารปลอมหาได้ไม่ และการรับฟังเอกสารดังกล่าวก็ต้องรับฟังทั้งฉบับเพราะมีข้อความกล่าวรวมถึงทรัพย์สินอื่นของบิดาโจทก์หลายอย่าง มิได้หมายถึงเฉพาะทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีอาญาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อตามภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.1มีใจความสำคัญว่าโจทก์สัญญาว่าบิดาโจทก์ได้มอบที่สวนและที่นาซึ่งก็คือที่ดินพิพาททั้งสามแปลงในคดีนี้กับทรัพย์อื่นให้โจทก์เป็นผู้รับรักษาทำกินโดยจะไม่ยึดถือเป็นของตนแต่ผู้เดียว และจะยอมแบ่งให้น้องทุกคน ดังนี้ถือได้ว่าเป็นการรับรองสิทธิของบิดาโจทก์ในทรัพย์ดังกล่าว การที่โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาททั้งสามแปลงต่อมา จึงเป็นเพียงการครอบครองแทนบิดาโจทก์เพื่อแบ่งให้น้อง ๆต่อไปเท่านั้น ที่โจทก์ฎีกาว่าการที่บิดาโจทก์เรียกโจทก์ไปทำหนังสือตามภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.1 แสดงว่าโจทก์ได้อ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และเมื่อครอบครองเกิน 1 ปี โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองนั้น เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการที่โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาททั้งสามแปลงหลังจากทำหนังสือภาพถ่ายเอกสารหมาย ล.1 เป็นเพียงการครอบครองแทน ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แสดงเจตนาเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเป็นการยึดถือเพื่อตนตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381ตั้งแต่เมื่อใด แม้โจทก์จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง จำเลยที่ 2 ที่ 3 ย่อมมีสิทธิเข้าทำกินในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของพระภิกษุทองพูนผู้เป็นบิดาด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยที่ 2 ที่ 3 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ต่อไป คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว”
พิพากษายืน