แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำการก่อสร้างห้องครัวโดยใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์โดยโจทก์ไม่อนุญาตขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่ติดกับผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์จำเลยให้การว่าจำเลยได้ก่อสร้างผนังห้องครัวขึ้นใหม่มิได้ใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ประเด็นจึงมีอยู่ว่าจำเลยได้ใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์เป็นผนังห้องครัวตามฟ้องหรือไม่เมื่อจำเลยให้การปฎิเสธเรื่องการใช้ผังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ทำเป็นช่องหน้าต่างติดกระจกบานเกล็ดกับเหล็กดัดและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนเหล็กดัดที่รุกล้ำที่ดินจำเลยออกไปเป็นการตั้งประเด็นขึ้นใหม่อันเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้องฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสาม
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 13127 13128 และ 13129 พร้อมอาคารพาณิชย์จำนวน 3 ห้อง ที่ปลูกสร้างบนที่ดินซึ่งอยู่ติดกับที่ดินจำเลยโฉนดเลขที่ 13130 ที่จำเลยปล่อยว่างไว้เพื่อให้โจทก์และบุคคลอื่นซึ่งซื้อที่ดินจากจำเลยได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน เมื่อต้นปี2535 จำเลยได้สร้างโครงเหล็กหลังคาสังกะสีในที่ดินโฉนดเลขที่13130 ทำให้นำฝนไหลเข้าอาคารพาณิชย์ของโจทก์เป็นเหตุให้สินค้าโจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน 8,000 บาท จำเลยได้ขุดหลุมบ่อน้ำบาดาลจำนวน 2 หลุม ห่างจากที่ดินและอาคารพาณิชย์ของโจทก์ไม่เกิน 2 เมตร และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 จำเลยก่อสร้างห้องครัวโดยไม่ได้สร้างผนังห้องครัวห่างจากที่ดินโจทก์ระยะ 50เซนติเมตร แต่ใช้ผังอาคารพาณิชย์ของโจทก์เป็นผนังห้องครัวจำเลยโดยโจทก์ไม่ยินยอมอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 8,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย กลบบ่อน้ำบาดาลจำนวน 2 หลุม และให้รื้อถอนห้องครัวกับโครงเหล็กหลังคาสังกะสีดังกล่าว
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 1310 มิได้กันไว้เพื่อการใช้ประโยชน์ร่วมกัน ขณะโจทก์ซื้อที่ดินและอาคารพาณิชย์โจทก์ทราบดีว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 13130 มีบ่อน้ำอยู่แล้ว2 บ่อ แต่โจทก์ไม่เคยโต้แย้ง หลังคากันแดดที่จำเลยสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ 13130 ไม่ทำให้น้ำฝนไหลเข้าไปในอาคารพาณิชย์ของโจทก์ จำเลยได้สร้างผนังห้องครัวขึ้นใหม่ในแนวเขตที่ดินของจำเลยไม่ได้ใช้ผนังอาคารของโจทก์เป็นผนังอาคารของโจทก์เป็นผนังฟ้องครัวจำเลย เมื่อต้นปี 2535 โจทก์ได้เจาะผนังอาคารของโจทก์ชั้นล่างทำเป็นช่องหน้าต่างติดกระจกบานเกล็ดและติดเหล็กดัดไว้ที่ด้านนอกตัวอาคาร ทำให้เหล็กดัดล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลย เป็นการละเมิดแดนกรรมสิทธิ์ของจำเลย ขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนเหล็กดัดดังกล่าว พร้อมกับชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนเหล็กดัดนั้นออกไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้ง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยมีว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมหรือไม่ เห็นวา คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 จำเลยได้ทำการก่อสร้างห้องครัวโดยใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์โดยโจทก์ไม่อนุญาตขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่ติดกับผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยได้ก่อสร้างผนังห้องครัวขึ้นใหม่มิได้ใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ประเด็นจึงมีอยู่ว่า จำเลยได้ใช้ผังอาคารพาณิชย์ของโจทก์เป็นผนังฟ้องครัวตามฟ้องหรือไม่เมื่อจำเลยได้ให้การปฎิเสธเรื่องการใช้ผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์เพราะเหตุได้ก่อผังห้องครัวขึ้นใหม่ แต่จำเลยกลับไปกล่าวหาว่าโจทก์ไปเจาะผนังอาคารพาณิชย์ของโจทก์ทำเป็นช่องหน้าต่างติดกระจกบานเกล็ดกับเหล็กดัดและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนเหล็กดัดที่รุกล้ำที่ดินจำเลยออกไปนั้น เป็นการตั้งประเด็นขึ้นใหม่ อันเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้อง ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาไม่รับฟ้องแย้งชอบแล้ว”
พิพากษายืน