แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่2จะเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกันตามธรรมดาจะมีน้ำหนักน้อยแต่เมื่อรับฟังประกอบกับระยะเวลาที่สายลับไปทำการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่2จนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นจำเลยและพบธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อจากจำเลยแทบจะในทันทีทันใดแล้วคำซัดทอดดังกล่าวมีน้ำหนักรับฟังได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83จำเลยที่ 1 จำคุก 5 ปี จำเลยที่ 2 ขณะกระทำผิดอายุสิบหกปีเศษลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 แล้วจำคุก 2 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 3 เดือน
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามปากเบิกความในส่วนสาระสำคัญเกี่ยวกับการวางแผนการจับกุม โดยนำธนบัตรที่จะนำไปใช้ในการล่อซื้อไปถ่านสำเนาและลงบันทึกประจำวันให้แก่สายลับไปทำการล่อซื้อเมื่อซื้อได้จากจำเลยที่ 2 สายลับนำเมทแอมเฟตามีนที่ซื้อได้ไปมอบให้แก่สิบตำรวจตรีอนุจิต ส่วนจำเลยที่ 2 นำเงินที่ได้จากสายลับไปมอบให้แก่จำเลยที่ 1 พยานทั้งสามเข้าทำการตรวจค้นก็พบเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 อีก 10 เม็ด และค้นได้ธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อจากจำเลยที่ 1 อีกได้อย่างสอดคล้องต้องกันเป็นอย่างดี เจ้าพนักบานตำรวจทั้งสามต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 ไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ว่าเคยมีสาเหตุทะเลาะกับพันตำรวจตรีศุภชัย เนื่องจากพันตำรวจตรีศุภชัยกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ลักทรัพย์สินของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากอุบัติเหตุรถชนกัน เกิดโต้เถียงกัน พันตำรวจตรีศุภชัยได้กล่าวอาฆาตจำเลยที่ 1 ไว้นั้น เห็นว่า ขัดต่อเหตุผลเพราะไม่มีความจำเป็นใดที่พันตำรวจตรีศุภชัยจะต้องไปทะเลาะกับจำเลยที่ 1 แล้วกล่าวคำอาฆาตไว้เพื่อที่จะมาหาเรื่องกลั่นแกล้งมาดำเนินคดีแต่จำเลยที่ 1 ในภายหลัง ทั้ง ๆ ที่หากพันตำรวจตรีศุภชัยอาจตั้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1ว่าลักทรัพย์ของผู้บาดเจ็บตั้งแต่ในครั้งนั้นได้อยู่แล้วสำหรับข้อที่จำเลยที่ 1 ยกขึ้นอ้างในฎีกาว่าคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวแตกต่างขัดกันในเรื่องจำนวนผู้เข้าประชุมในการวางแผนก็ดี ระยะเวลาที่ใช้ในการประชุมและการตรวจค้นรวมตลอดทั้งเรื่องอื่น ๆ ก็ดี ล้วนเป็นพลความ หาใช่ข้อสาระสำคัญอันจะทำให้น้ำหนักคำพยานโจทก์เสียไปไม่ นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจโทณรงค์ฤทธิ์พนักงานสอบสวน พยานโจทก์อีกปากหนึ่งว่าในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การรับว่ารับเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ให้ช่วยขายและแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจะเป็นคำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน ซึ่งตามธรรมดาจะมีน้ำหนักน้อยแต่เมื่อรับฟังประกอบกับระยะเวลาที่สายลับไปทำการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 จนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นจำเลยทั้งสองและพบธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อจากจำเลยที่ 1 แทบจะในทันทีทันใดแล้ว ทำให้คำซัดทอดของจำเลยที่ 2ดังกล่าวมีน้ำหนักรับฟังได้ พยานหลักฐานของโจทก์ดังได้วินิจฉัยมาฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2กระทำผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้
พิพากษายืน