แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ต.ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยร่วมที่1ซึ่งเป็นผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทและทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่2แต่ต่อมาต.ให้จำเลยร่วมที่1โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยร่วมที่2และจำเลยร่วมที่2โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์โดยรู้อยู่แล้วว่าต.ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่2ก็ตามแต่จำเลยร่วมที่1ไม่ใช่ลูกหนี้ของจำเลยที่2เพราะจำเลยร่วมที่1ไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆกับจำเลยที่2ฉะนั้นการที่จำเลยร่วมที่1โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยร่วมที่2จำเลยที่2จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา237วรรคแรกได้ ต.ซึ่งทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่2โดยไม่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทต.เพียงแต่ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยร่วมที่1ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทเท่านั้นจำเลยที่2จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใดๆกับจำเลยร่วมที่1จำเลยที่2จึงไม่ใช่เจ้าหนี้ของจำเลยร่วมที่1ทั้งมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จำเลยร่วมที่1จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่2ได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1300จำเลยที่2จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างจำเลยที่1กับจำเลยร่วมที่2ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 9959 จำเลยทั้งสามร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทของโจทก์ดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้ใช้จ้างวานให้จำเลยที่ 3 กระทำละเมิดทุบทำลายรั้วคอนกรีด และขุดดินปลูกสร้างห้องพักคนงาน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามและบริวารขนย้ายออกไปจากที่ดินพิพาท และร่วมกันชำระค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทจากนางเต็มศรี จำเลยที่ 2 ชำระราคาแล้วนางเต็มศรีซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยร่วมที่ 1ต่อมาจำเลยที่ 2 เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท โจทก์กับพวกสมคบกันฉ้อฉลเพื่อให้ได้สิทธิทางทะเบียนโดยไม่สุจริตนิติกรรมซื้อขายของโจทก์กับพวกตกเป็นโมฆะ รั้วคอนกรีตที่ถูกทุบและดินที่ขุดเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 มีอำนาจกระทำได้โจทก์จงใจทำละเมิดบุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทนำไม้และสังกะสีปิดกั้นทางทุกด้านจำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง และให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยร่วมที่ 2 กับโจทก์ และการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยร่วมที่ 2 กับจำเลยร่วมที่ 1 ให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยร่วมที่ 2 โดยสุจริตเสียค่าตอบแทน และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชอบ นางเต็มศรีผู้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ไม่เคยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และจำเลยที่ 2 กับนางเต็มศรีทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกันเอง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์ปิดทางเข้าออกที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต ไม่เป็นละเมิดต่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ขอให้ยกฟ้องแย้งจำเลยที่ 1 ที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสามและบริวารออกจากที่ดินพิพาท คำขออื่นของโจทก์และฟ้องแย้งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้ยก
จำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นางเต็มศรีทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาท ฉะนั้นนางเต็มศรีจึงมีสิทธิที่จะทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2ได้ เมื่อนางเต็มศรีสมคบกับจำเลยร่วมที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 2ฉ้อฉลจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ นางเต็มศรีโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยร่วมที่ 2 แล้ว จำเลยร่วมที่ 2 สมยอมกับโจทก์โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ โดยรู้อยู่แล้วว่านางเต็มศรีได้ทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 แต่จำเลยร่วมที่ 1 ไม่ใช่ลูกหนี้ของจำเลยที่ 2 เพราะจำเลยร่วมที่ 1 ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยที่ 2 ฉะนั้นการที่จำเลยร่วมที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยร่วมที่ 2 จำเลยที่ 2จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 วรรคแรกได้ การที่นางเต็มศรีซึ่งทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท นางเต็มศรีเพียงแต่ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทเท่านั้น ฉะนั้นจำเลยที่ 2จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยร่วมที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่เจ้าหนี้ของจำเลยร่วมที่ 1 ทั้งมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานอันจะให้จำเลยร่วมที่ 1 จะทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ 2 ได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 จำเลยที่ 2จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างจำเลยร่วมที่ 1 กับจำเลยร่วมที่ 2 ได้เช่นเดียวกัน
พิพากษายืน