คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยมิได้ให้การว่าเช็คพิพาทมีการรวมดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายทบต้นไว้ด้วยเช็คพิพาทจึงเป็นโมฆะทั้งฉบับ แต่ท้ายคำให้การก็มีคำขอให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนดอกเบี้ยนี้ด้วย ทั้งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงไม่ชอบและศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยคดีไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ จำเลยออกเช็คพิพาทให้เพื่อชำระหนี้เงินกู้จากโจทก์โดยมีการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือนรวมอยู่ด้วย ดอกเบี้ยทั้งหมดจึงตกเป็นโมฆะ แต่โจทก์ยังมีสิทธิเรียกร้องต้นเงินอันเป็นหนี้ประธานที่สมบูรณ์แยกออกจากดอกเบี้ยซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ได้ ส่วนเช็คพิพาทเป็นนิติกรรมคนละอันกับนิติกรรมการกู้ยืมเป็นเช็คที่สมบูรณ์มิใช่เช็คพิพาทตกเป็นโมฆะทั้งหมด โจทก์มีสิทธิอาศัยเช็คดังกล่าวฟ้องจำเลยได้ แต่จำเลยคงต้องรับผิดเพียงต้นเงินเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คของธนาคารนครหลวงไทยจำกัด สาขาราชดำเนิน 2 ฉบับ คือเช็คเลขที่ 2853925 จำนวนเงิน 36,000 บาท และเช็คเลขที่ 2853926 จำนวนเงิน191,549บาทโดยมีจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้เงินยืมเมื่อเช็คถึงกำหนดใช้เงินโจทก์ได้นำเช็คทั้งสองฉบับไปเข้าบัญชีของโจทก์แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 234,660 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 227,549 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ตามเช็คเลขที่ 2853925 จำนวนเงิน 36,000 บาท แต่เช็คเลขที่ 2853926 จำนวนเงิน 191,549 บาท นั้น จำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 100,000 บาท ส่วนที่เกินนั้นเป็นดอกเบี้ยที่โจทก์คิดในอัตราร้อยละ 3 เดือน และคิดดอกเบี้ยทบต้นหลายครั้งซึ่งโจทก์ให้จำเลยออกเช็คและเปลี่ยนเช็คโดยเพิ่มยอดเงินสั่งจ่ายในเช็คขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนดอกเบี้ยที่คิดเพิ่มนับแต่ปี2529 ถึง 2533 จำนวนหลายฉบับจนมาเป็นเช็คเลขที่ 2853926 เช็คดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่ไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หนี้ที่ระบุในเช็คพิพาทจึงไม่สมบูรณ์ ดังนั้นเงินในส่วนดอกเบี้ยที่เกินอัตรากฎหมายกำหนดจำนวน 91,549 บาท จึงตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของเงินดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 136,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 36,000 บาท นับแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2533 กับดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวในต้นเงิน100,000 บาทนับแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 เป็นโมฆะทั้งฉบับมิใช่ข้อที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ถือเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคแรก ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยพิพากษายกอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้เป็นคดีที่จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่าเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 มีการรวมดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายทบต้นไว้ในเช็คนั้นด้วย เช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 จึงเป็นโมฆะทั้งฉบับ เห็นว่า แม้จำเลยมิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 ทั้งฉบับเป็นโมฆะทั้งท้ายคำให้การยังมีคำขอให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของเงินที่เป็นดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะแต่กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสองและมาตรา 249 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ไม่ชอบ และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยคดีไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่เมื่อข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 เป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อชำระหนี้เดิมซึ่งจำเลยกู้ยืมจากโจทก์จำนวน 100,000 บาท โดยมีการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือนรวมอยู่ด้วยดอกเบี้ยทั้งหมดจึงตกเป็นโมฆะเพราะวัตถุประสงค์ในการเรียกดอกเบี้ยเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 แต่โจทก์ยังมีสิทธิเรียกร้องต้นเงินเพราะส่วนของนิติกรรมที่เป็นโมฆะคือการคิดดอกเบี้ยอันเป็นหนี้อุปกรณ์ในนิติกรรมกู้ยืมเงินเท่านั้น แต่ต้นเงินที่กู้ยืมอันเป็นหนี้ประธานยังสมบูรณ์แยกออกจากกันได้ส่วนเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 เป็นนิติกรรมคนละอันกับนิติกรรมการกู้ยืมเมื่อจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้กู้ยืมและโจทก์ยอมรับเอาเช็คนั้นแทนการชำระหนี้โดยใช้เงินหนี้กู้ยืมจะระงับไปก็ต่อเมื่อเช็คได้ใช้เงินแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 ที่จำเลยฎีกาว่า เช็คพิพาทมีการรวมดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายจึงเป็นโมฆะทั้งฉบับ เป็นการนำเอาความไม่สมบูรณ์ในส่วนหนึ่งของนิติกรรมอันหนึ่งคือการกู้ยืมไปปนกับความสมบูรณ์ของนิติกรรมอีกอันหนึ่งคือตั๋วเงินซึ่งไม่มีเหตุผลเช็คพิพาทเป็นเช็คที่สมบูรณ์ตามกฎหมายโจทก์มีสิทธิอาศัยเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อชำระหนี้กู้ยืมเป็นมูลหนี้ฟ้องจำเลยได้แต่จำเลยคงต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงต้นเงิน 100,000 บาทเพราะส่วนดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะไปแล้วจำเลยจะไม่ยอมรับผิดตามเช็คเสียเลยไม่ได้ กรณีไม่ใช่เช็คพิพาทตกเป็นโมฆะทั้งหมดตามที่จำเลยฎีกาฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share