คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2881/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยเป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการให้ประทานบัตร ตรวจสอบดูแลการทำเหมืองให้เป็นไปตามกฎหมาย ตลอดจนมีหน้าที่ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรและหนี้สินต่าง ๆ ที่ผู้ได้รับประทานบัตรค้างชำระแก่โจทก์ การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรที่จำเลยค้างชำระจึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่โจทก์มีอยู่ โจทก์มีอำนาจฟ้องได้โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไม่จำต้องมอบอำนาจให้แต่อย่างใด ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 55 จำเลยผู้ถือประทานบัตรมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรเป็นรายปีสำหรับอัตราค่าธรรมเนียมนั้นกฎหมายให้เรียกเก็บตามกฎกระทรวงอันหมายถึงกฎกระทรวงที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเรียกเก็บ ทั้งนี้เพราะกฎกระทรวงฉบับใดที่ยกเลิกไปแล้วย่อมถูกยกเลิกทั้งฉบับ ซึ่งรวมทั้งอัตราค่าธรรมเนียมที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงฉบับนั้นด้วย ฉะนั้นปีใดกฎกระทรวงฉบับใดใช้บังคับอยู่ จำเลยต้องชำระค่าธรรมเนียมตามอัตราที่กฎกระทรวงฉบับนั้นกำหนดไว้ เงินค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์เป็นหนี้เงิน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 แต่ดอกเบี้ยจากเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระ ส่วนที่เกิน5 ปี นับจากวันฟ้องย้อนหลังไปจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 ที่แก้ไขใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม มีหน้าที่ตรวจสอบดูแลและออกประทานบัตรให้ทำเหมืองในพื้นที่ที่กำหนดโดยกำหนดค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตร และโจทก์มีสิทธิในการเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตร และหนี้สินต่าง ๆ ที่ผู้ได้รับอนุญาตใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรค้างชำระแก่โจทก์ จำเลยได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ทำเหมืองชั่วคราวชนิดแร่แมงกานีส โดยวิธีเหมืองหาบและเหมืองเจาะงัน จำเลยได้ประพฤติผิดข้อกำหนดตามประทานบัตรกล่าวคือเมื่อถึงกำหนดระยะเวลาที่จำเลยต้องชำระค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรล่วงหน้าในแต่ละปี ในช่วงปี 2515เป็นต้นมาจนถึงปี 2530 จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระในส่วนที่ต้องชำระเพิ่มและในส่วนที่ต้องชำระตามปกติเป็นรายปีแก่โจทก์ โจทก์จึงได้มีคำสั่งเพิกถอนประทานบัตรของจำเลยเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2530 ดังนั้นจำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรในส่วนที่ยังขาดให้โจทก์ รวมเป็นเงิน 51,658.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่ผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงินอีก28,559.40 บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้เงินให้โจทก์จำนวน 80,217.88 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า หากจำเลยผิดสัญญาหรือข้อตกลงอันเกี่ยวกับประทานบัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิโดยตรง โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยมิได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ความรับผิดในค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรของจำเลยเป็นข้อตกลงและผูกพันที่จำเลยจะต้องรับผิด เพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรตามอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2511) คือไร่ละ4 บาท เป็นเงินปีละ 1,164 บาท ส่วนค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรสูงขึ้นกว่าเดิมไม่ผูกพันจำเลย จำเลยไม่ต้องรับผิดประทานบัตรเป็นสัญญาต่างตอบแทนและถือว่าเป็นสัญญาเช่า ภายหลังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเพิกถอนประทานบัตรเมื่อวันที่8 กรกฎาคม 2530 จำเลยได้ส่งมอบพื้นที่เขตประทานบัตรให้แก่โจทก์แล้วการที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องจำเลยเมื่อพ้น 6 เดือนแล้วจึงขาดอายุความโจทก์ไม่มีสิทธิคิดค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรซึ่งเป็นค่าเช่าที่ค้างส่งเกินกว่า 5 ปี โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยที่ค้างส่งตั้งแต่ปี 2515-2525 ของต้นเงินในแต่ละปี ค่าเช่าและดอกเบี้ยค้างส่งเกินกว่า 5 ปี ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์จำนวน 80,217.88 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 51,658.48 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประเด็นข้อแรกที่จะวินิจฉัยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโดยเป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการให้ประทานบัตรตรวจสอบดูแลการทำเหมืองให้เป็นไปตามกฎหมายตลอดจนมีหน้าที่ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรและหนี้สินต่าง ๆ ที่ผู้ได้รับประทานบัตรค้างชำระแก่โจทก์การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรที่จำเลยค้างชำระจึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่โจทก์มีอยู่โจทก์มีอำนาจฟ้องได้โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไม่จำต้องมอบอำนาจให้แต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นข้อที่สองมีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรเพิ่มขึ้นตามกฎกระทรวงฉบับที่ 22(พ.ศ. 2516) ฉบับที่ 34 (พ.ศ. 2521) ฉบับที่ 45 (พ.ศ. 2523) หรือไม่เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 55 จำเลยผู้ถือประทานบัตรมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรเป็นรายปี สำหรับอัตราค่าธรรมเนียมนั้นกฎหมายให้เรียกเก็บตามกฎกระทรวงอันหมายถึงกฎกระทรวงที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเรียกเก็บทั้งนี้เพราะกฎกระทรวงฉบับใดที่ยกเลิกไปแล้วย่อมถูกยกเลิกทั้งฉบับซึ่งรวมทั้งอัตราค่าธรรมเนียมที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงฉบับนั้นด้วยปีใดกฎกระทรวงฉบับใดใช้บังคับอยู่ จำเลยต้องชำระค่าธรรมเนียมตามอัตราที่กฎกระทรวงฉบับนั้นกำหนดไว้ ด้วยเหตุนี้โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรเพิ่มขึ้นตามกฎกระทรวงฉบับที่ 22 (พ.ศ. 2516) ฉบับที่ 34 (พ.ศ. 2521)และฉบับที่ 45 (พ.ศ. 2523) ตลอดระยะเวลาที่กฎกระทรวงดังกล่าวแต่ละฉบับใช้บังคับ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
ประเด็นข้อสุดท้ายมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่าตามคำให้การของจำเลย จำเลยให้การว่าโจทก์นำคดีเกี่ยวกับสัญญาเช่ามาฟ้องเมื่อพ้น 6 เดือน คดีโจทก์จึงขาดอายุความ จากคำให้การดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยยกอายุความเรื่องเช่าทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 563 ซึ่งมีกำหนด 6 เดือน ขึ้นมาต่อสู้คดีโจทก์ แต่ในชั้นฎีกาจำเลยกลับยกอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ซึ่งแก้ไขใหม่เป็นมาตรา 193/30 อันมีกำหนด 10 ปี ขึ้นมาฎีกา ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อที่ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยค้างส่งเกิน5 ปี นับแต่วันฟ้องนั้น เห็นว่า เงินค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ตามประทานบัตรที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์เป็นหนี้เงิน โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยจากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยจากเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระ ดังนั้นส่วนที่เกิน 5 ปี นับจากวันฟ้องย้อนหลังไปจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166ซึ่งแก้ไขใหม่เป็นมาตรา 193/33 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 51,658.48บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เฉพาะดอกเบี้ย ก่อนวันฟ้องให้จำเลยชำระไม่เกิน 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share