คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1278/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จ้างเหมาให้จำเลยที่ 2 สร้างคานเรือโดยมีจำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ก่อสร้างให้เสร็จตามสัญญาจ้างเหมา โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ใช้ค่าเสียหายตามสัญญาค้ำประกัน และศาลเรียกจำเลยที่ 2 เข้ามาในคดีด้วยตามคำขอของจำเลยที่ 1 มีผู้อื่นขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยโดยอ้างว่าเป็นผู้รับเหมางานช่วงจากจำเลยที่ 2 อาจถูกไล่เบี้ยได้ ศาลอนุญาต ดังนี้เมื่อฝ่ายจำเลยแพ้คดี ศาลจะพิพากษาให้จำเลยร่วมพลอยต้องร่วมใช้ค่าเสียหายอันเกิดแต่นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2ด้วยหาได้ไม่ แต่จำเลยร่วมอาจต้องร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ด้วย
ค่าทนายความอันเป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียมนั้น ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายที่แพ้คดีรับผิดชดใช้ให้แก่ฝ่ายที่ชนะหรือไม่เพียงใดย่อมเป็นเรื่องที่ศาลจะใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวง คดีที่โจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งมีพนักงานอัยการเป็นทนายให้ เมื่อชนะคดี ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายที่แพ้คดีใช้ค่าทนายให้ก็ได้

ย่อยาว

คดีนี้ ธนาคารจำเลยที่ 1 ขอให้เรียกบริษัทจำเลยที่ 2 เข้ามาในคดีและบริษัทจำเลยร่วมร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 โดยถือเอาคำให้การของจำเลยที่ 1 และ 2 เป็นข้อต่อสู้

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจ้างเหมาให้จำเลยที่ 2 สร้างคานเรือกำหนดให้เสร็จใน 30 เดือน ราคาก่อสร้าง 30 ล้านบาท ถ้าทำไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดยอมให้โจทก์ปรับวันละ 5,000 บาท จนกว่าจะเสร็จ และในวันทำสัญญาจำเลยที่ 2 ต้องวางเงินมัดจำหรือเสนอหนังสือรับรองของธนาคารเป็นเงิน 1 ล้าน 5 แสนบาทเพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญาหากปฏิบัติผิดสัญญา โจทก์จะริบเงินหรือเรียกร้องให้ธนาคารชำระ จำเลยที่ 1เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนังสือสัญญาค้ำประกันมีความว่าจำเลยที่ 1ยินยอมเข้าเป็นผู้ค้ำประกันภายในวงเงิน 1 ล้าน 5 แสนบาท ถ้าจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามสัญญาและโจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 ยอมใช้ค่าเสียหายแทนจำเลยที่ 2 ทันที โจทก์ไม่ต้องเรียกร้องจากจำเลยที่ 2 ก่อนอายุสัญญามีกำหนด 3 ปี 6 เดือนเว้นแต่ความผิดตามสัญญายังไม่สิ้นสุดจะโดยเหตุใดก็ตาม อายุสัญญาค้ำประกันจะขยายออกไปแล้วแต่กรณีครั้นวันที่ 7 สิงหาคม 2507 จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้อีกมีความว่า ตามที่จำเลยที่ 2 ขอรับเงินค่าจ้างเหมางวดที่ 5 ไปจากโจทก์ 4 ล้านบาทนั้น หากจำเลยที่ 2 ต้องถูกปรับเนื่องจากผิดสัญญาเป็นเงินเท่าใด และจำเลยที่ 2 ไม่สามารถชำระได้จำเลยที่ 1 ยอมชำระแทนเป็นเงินไม่เกิน 4 ล้านบาท สัญญามีกำหนดตั้งแต่ 10 สิงหาคม 2507 ถึง 9 สิงหาคม2508 การสร้างคานเรือดังกล่าว จำเลยที่ 2 ได้รับเงินค่าจ้างไปจากโจทก์ 29 ล้านบาท เฉพาะเงินงวดที่ 5 นั้น จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับแทน จำเลยที่ 2 ได้ขอขยายเวลาทำงานต่อไป และโจทก์อนุมัติให้ 136 วัน ดังนั้น จะต้องสร้างให้เสร็จภายใน 29 ธันวาคม 2504 แต่จำเลยที่ 2 ทำผิดสัญญาจนถึงวันฟ้องก็ยังสร้างไม่เสร็จ จึงต้องถูกปรับวันละ 5,000 บาท รวม 1,310 เป็นเงิน 6,550,000 บาท ความเสียหายของโจทก์มากกว่า 1 ล้าน 5 แสนบาทที่จำเลยที่ 2 ได้มัดจำไว้ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายกับริบมัดจำ ทั้งมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1 ล้าน 5 แสนบาท ตามสัญญาค้ำประกันฉบับแรก เพื่อริบเป็นค่าเสียหาย โจทก์เรียกร้องต่อจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เพิกเฉย จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าปรับ 4 ล้านบาท ตามสัญญาค้ำประกันฉบับหลังเพื่อให้ริบตามสัญญาและชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์เรียกร้องแล้วจำเลยที่ 1 ก็เพิกเฉยจึงขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 5 ล้าน 5 แสนบาทกับดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา และจำเลยที่ 1 หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันแล้ว โจทก์ควรฟ้องจำเลยที่ 2 โดยตรงด้วย จึงขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ 2 เข้ามาเป็นจำเลยด้วยศาลอนุญาต

จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา แต่เป็นความผิดของโจทก์เอง

จำเลยร่วมทั้งสองร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วย โดยอ้างว่า จำเลยที่ 2 ได้จ้างเหมาช่วงให้จำเลยร่วมเป็นผู้ทำการสร้างคานเรือ ตามสัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ 2 ทำกันไว้ ในการก่อสร้างนี้ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 แพ้คดีจำเลยที่ 1 ก็มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 2 ได้ และจำเลยร่วมทั้งสองอาจถูกไล่เบี้ยได้เช่นเดียวกัน จึงมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนี้ ศาลอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จำเลยร่วมที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 2 ร่วมกันใช้เงิน 1 ล้าน 5 แสนบาท ตามสัญญาค้ำประกันกับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 2 จำเลยร่วมที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้เงิน 4 ล้านบาทฐานผิดสัญญารับเหมาก่อสร้าง กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ในกรณีที่จำเลยที่ 2 จำเลยร่วมที่ 1 ที่ 2 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ก็ให้จำเลยที่ 1 ใช้แทนในฐานะผู้ค้ำประกัน

จำเลยทั้งหมดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งหมดฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น และวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีมูลกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ไม่ก่อสร้างคานเรือให้เสร็จตามสัญญาจ้างเหมาที่โจทก์กับจำเลยที่ 2 ทำไว้ต่อกัน และจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 2 โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ใช้ค่าเสียหายตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ขอให้เรียกจำเลยที่ 2 ผู้กระทำผิดสัญญาจ้างเหมาอันเป็นมูลกรณีเข้ามาในคดีด้วย และศาลอนุญาตแล้ว ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แต่จำเลยร่วมทั้งสองนั้นร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยข้ออ้างว่าเป็นผู้รับเหมางานช่วงจากจำเลยที่ 2อีกทอดหนึ่ง ถ้าจำเลยที่ 1 แพ้คดี จำเลยที่ 1 ก็มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ 2และจำเลยร่วมทั้งสองก็อาจถูกไล่เบี้ยได้เช่นเดียวกัน ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าความผูกพันดังกล่าวเป็นนิติสัมพันธ์ในระหว่างจำเลยทั้งสองกับจำเลยร่วมด้วยกันเองโดยเฉพาะระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมทั้งสองหาได้มีนิติสัมพันธ์กันแต่อย่างใดไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 แพ้คดี จะมีผลพลอยให้จำเลยร่วมทั้งสองต้องใช้ค่าเสียหายอันเกิดแต่นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ 2หาได้ไม่ โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่าตนถูกจำเลยร่วมทั้งสองโต้แย้งสิทธิของตนแม้จำเลยร่วมทั้งสองจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยแล้ว

ข้อที่โจทก์กล่าวในคำแก้ฎีกาว่า การที่พนักงานอัยการเป็นทนายให้รัฐ(ซึ่งโจทก์คดีนี้เป็นองค์การรัฐวิสาหกิจ) เมื่อรัฐบาลชนะคดี ฝ่ายที่แพ้ก็ควรจะมีหน้าที่ใช้ค่าทนายแทนรัฐบาลด้วยนั้น เห็นว่าค่าทนายความอันเป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียม ศาลจะพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่แพ้คดีชดใช้ให้แก่ฝ่ายที่ชนะคดีหรือไม่เพียงใดนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่ศาลจะใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นสมควรให้ค่าทนายโจทก์คดีนี้เป็นพับนั้น เป็นดุลพินิจของศาลล่าง ศาลฎีกาไม่พึงแก้ไข

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เฉพาะในข้อที่ให้จำเลยร่วมที่ 1 ที่ 2 ร่วมใช้เงินแก่โจทก์ฐานผิดสัญญารับจ้างก่อสร้างและตามสัญญาค้ำประกันนั้นให้ยกเสีย นอกนั้นคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และจำเลยร่วมทั้งสองใช้ค่าทนายในชั้นฎีกาแทนโจทก์สามหมื่นบาทด้วย

Share