คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 493/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอ้างว่าเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องชำระและนำมาวางศาลมีจำนวนสูงถึง200,000 บาท และจำเลยประสบปัญหาด้านการเงินนั้น ได้ความว่า จำเลยรับทราบผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก่อนวันครบกำหนดเวลายื่นฎีกาถึง 14 วัน ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะหาเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องชำระและนำมาวางศาลได้ทัน การที่จำเลยไม่สามารถยื่นฎีกาได้ภายในกำหนดจึงเป็นความบกพร่องของตัวจำเลยและทนายจำเลยเอง มิใช่พฤติการณ์พิเศษที่จะยกขึ้นมากล่าวอ้างเพื่อขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ได้ แม้ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาเมื่อวันครบกำหนดยื่นฎีกา ก็มิใช่เหตุที่จำเลยจะอ้างว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบ ทั้งนี้เพราะจำเลยควรต้องเตรียมการสำหรับกรณีดังกล่าวไว้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน6,250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินเดือนละ 15,0000 บาท มีกำหนดระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 122232 เลขที่ดิน953 ตำบลประเวศ (คลองประเวศฝั่งเหนือ) อำเภอพระโขนง (ประเวศ) กรุงเทพมหานครให้แก่โจทก์ทั้งสองด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2และที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทั้งสองศาลให้เป็นพับ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 10,000 บาท แทนโจทก์ทั้งสอง

จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาอ้างว่าคดีมีทุนทรัพย์สูงและคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 ยังไม่อนุมัติเงินค่าธรรมเนียมวางศาล ประกอบกับช่วงเวลานี้ตรงกับเทศกาลวันหยุดวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่าข้ออ้างตามคำร้องถือไม่ได้ว่ากรณีมีพฤติการณ์พิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เมื่อทนายจำเลยที่ 1ได้รับสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ทนายจำเลยที่ 1 รีบแจ้งผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ทราบทันทีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2542 แต่เงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องชำระและนำมาวางศาลมีจำนวนสูงถึง 200,000 บาท จำเลยที่ 1ประสบปัญหาด้านการเงิน ต้องใช้เวลาติดต่อหาเงินจำนวนดังกล่าว จึงจำต้องขอขยายเวลายื่นฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม2542 อันเป็นวันครบกำหนดยื่นฎีกา จึงไม่มีเวลาดำเนินการอย่างใดได้ทันนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 รับทราบผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2542 ก่อนวันครบกำหนดเวลายื่นฎีกาถึง 14 วัน ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะหาเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องชำระและนำมาวางศาลได้ทัน การที่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถยื่นฎีกาได้ภายในกำหนดจึงเป็นเพราะความบกพร่องของตัวจำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 1 เอง มิใช่พฤติการณ์พิเศษที่จะยกขึ้นมากล่าวอ้างเพื่อขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 แม้ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2542 อันเป็นวันครบกำหนดยื่นฎีกา ก็มิใช่เหตุที่จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบ ทั้งนี้ เพราะเมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงิน จำเลยที่ 1 ย่อมคาดหมายได้ว่าศาลชั้นต้นอาจสั่งไม่อนุญาตก็ได้ จำเลยที่ 1 ควรต้องเตรียมการสำหรับกรณีดังกล่าวไว้ด้วย เช่น เตรียมหาเงินหรือเตรียมคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นฎีกาไว้ให้พร้อม แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ดำเนินการดังกล่าวประการใด ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและคำพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share