คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2172/2554

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยถูกฟ้องว่าขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้มีผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส แม้พนักงานสอบสวนจะมีความเห็นว่า ผู้ตายมีส่วนประมาทร่วมอยู่ด้วย แต่ผู้ตายถึงแก่ความตายไปก่อน ก็เป็นเพียงความเห็นของพนักงานสอบสวนเท่านั้น ไม่เป็นเหตุที่ต้องห้ามมิให้ภริยาของผู้ตายจะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไม่ได้ คำสั่งอนุญาตขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมของศาลชั้นต้นชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสาวหรือนางชลธิชา ภริยานายสมศักดิ์ เกิดอยู่ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูก เฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4), 157 เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานกระทำประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายกระทงเดียว จำคุก 6 เดือน
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์บรรทุกพ่วง 18 ล้อ คันหมายเลขทะเบียน 70 – 2717 ชลบุรี และพ่วงรถพ่วงหมายเลขทะเบียน 70 – 4215 ชลบุรี ส่วนผู้ตายขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน 3 ฬ – 6162 กรุงเทพมหานคร รถทั้งสองคันวิ่งสวนกัน และเกิดอุบัติเหตุชนกัน บริเวณถนนสายสุขาภิบาล 8 เป็นเหตุให้นายสมศักดิ์ เกิดอยู่ ผู้ตาย คนขับรถยนต์ถึงแก่ความตาย นายพูลสวัสดิ์ เสงี่ยม นายอดุลย์ นายมุสตอปอ และนายอาลังค์ ซึ่งนั่งมาในรถยนต์คันดังกล่าวได้รับอันตรายสาหัส คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากความประมาทของจำเลยหรือไม่ ได้ความว่า จุดเกิดเหตุรถชนกันเป็นจุดที่จำเลยขับลงเนิน ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.2 ที่ร้อยตำรวจเอกชัยรัตน์ พนักงานสอบสวนทำไว้ ประกอบภาพถ่ายหมาย จ.6 และ จ.7 พบรอยห้ามล้อของรถยนต์ หมายเลขทะเบียน 3 ฬ – 6162 กรุงเทพมหานคร เป็นแนวยาวประมาณ 30 เมตร และรอยครูดบนถนน นอกจากนี้ยังพบเศษกระจกแตกตกอยู่บนถนนในช่องเดินรถของรถยนต์ ในการวินิจฉัยจุดชนจำต้องพิจารณาจากรอยครูด รอยเบรกและเศษกระจกที่ตกอยู่บนพื้นถนนเป็นสำคัญยิ่งกว่าคำเบิกความของพยานบุคคล เพราะจะเป็นข้อที่บ่งชี้ถึงจุดชนได้ดีที่สุด ได้ความว่า ถนนเกิดเหตุมีความกว้าง 5.98 เมตร หากวัดจุดแบ่งกึ่งกลางถนนที่ระยะประมาณ 3 เมตร ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2 จะพบว่ารอยเบรก รอยครูดและเศษกระจกแตกล้วนตกอยู่บนผิวการจราจรของรถยนต์ทั้งสิ้น การขับรถยนต์บรรทุกพ่วง จำเลยต้องขับด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยไม่ขับด้วยความเร็วที่อาจทำให้ผู้ที่ขับรถสวนมาสังเกตไม่เห็นถึงรถพ่วง หรือหักรถหลบรถพ่วงไม่ทัน เพราะความเร็ว ได้ความว่าบริเวณที่เกิดเหตุ ความกว้างของถนนไม่ถึง 6 เมตร รอยเบรกที่ปรากฏบนถนนจึงเป็นรอยเบรกที่เกิดจากสัญชาติญาณของผู้ตายที่ขับรถจำเป็นต้องเหยียบเบรกเพราะเห็นรถพ่วงแกว่งเข้ามาในช่องเดินรถของตน สอดคล้องกับรอยแอ่งกระทะบนเส้นทางเดินรถของรถยนต์บรรทุกพ่วงที่จำเลยขับผ่านรวมสองจุด ก่อนถึงจุดชนห่างประมาณ 14 เมตร และ 10.30 เมตร ตามลำดับ มีเหตุผลให้ฟังได้ว่ารอยแอ่งกระทะเป็นจุดที่เมื่อจำเลยขับรถผ่านแล้ว ทำให้รถพ่วงเสียการทรงตัวแกว่งเข้ามาในช่องเดินรถของผู้ตาย อุบัติเหตุตามฟ้องจึงเกิดขึ้น จำเลยขับรถโดยประมาทใช้ความเร็วเกินควร ไม่ชะลอความเร็วให้ลดลงตามสภาพถนนที่เป็นจริง จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุมีคนตายและได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้อง และพฤติการณ์การกระทำของจำเลยถือว่าร้ายแรงไม่มีเหตุรอการลงโทษ ฎีกาจำเลยในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า ผู้ตายเป็นผู้มีส่วนประมาทด้วย โจทก์ร่วมซึ่งเป็นภริยาผู้ตายจึงขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมไม่ได้ เห็นว่า คดีนี้ จำเลยถูกฟ้องว่าขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้มีผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส แม้พนักงานสอบสวนจะมีความเห็นว่า ผู้ตายเป็นผู้มีส่วนประมาทร่วมอยู่ด้วย แต่ผู้ตายถึงแก่ความตายไปก่อน ก็เป็นเพียงความเห็นของพนักงานสอบสวนเท่านั้น ไม่เป็นเหตุที่ต้องห้ามมิให้ภริยาของผู้ตายจะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการไม่ได้ คำสั่งอนุญาตขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมของศาลชั้นต้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share