แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระหนี้ค่าภาษีอากรตามการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายหลังจากที่โจทก์ได้แจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ทราบแล้ว เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ชำระหนี้ค่าภาษีอากรให้แก่โจทก์ หนี้ค่าภาษีอากรตามการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงเป็นหนี้ค่าภาษีอากรค้าง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามให้ชำระภาษีจำนวนดังกล่าวตามฟ้องได้ โดยไม่ต้องรอให้พ้นกำหนด 30 วัน และแม้ต่อมาจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้วก็ตาม ย่อมไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์หมดไป
ย่อยาว
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าภาษีอากรจำนวน ๑,๒๖๐,๗๐๕ บาท และร่วมกันชำระเงินเพิ่มภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงินภาษีแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จโดยไม่เกินต้นเงินภาษีแต่ละจำนวนแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า ขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ ๑๐๐๖๐๕๐/๒/๑๐๐๐๘๘ และที่ ๑๐๐๖๐๕๐/๒/๑๐๐๐๘๙ ให้เพิกถอนการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม เลขที่ ๑๐๐๖๐๕๐/๕/๑๐๒๑๙๘ ถึงเลขที่ ๑๐๐๖๐๕๐/๕/๑๐๒๒๑๐ ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามคำวินิจฉัยเลขที่ (พล) ๐๐๐๖/๒/๒๕๔๒ และเลขที่ ๐๐๓๐/๕/๒๕๔๒ ถึงเลขที่ (พล) ๐๐๔๒/๕/๒๕๔๒ หากเพิกถอนไม่ได้ก็ให้งดเบี้ยปรับ
จำเลยให้การว่า การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว กรณีไม่มีเหตุให้งดเบี้ยปรับ ขอให้ยกฟ้อง
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลภาษีอากรกลางรวมพิจารณาเข้าด้วยกัน โดยเรียกโจทก์สำนวนแรกและจำเลยสำนวนหลังว่า โจทก์ เรียกจำเลยที่ ๑ สำนวนแรกว่า จำเลยที่ ๑ เรียกจำเลยที่ ๒ สำนวนแรกและโจทก์สำนวนหลังว่า จำเลยที่ ๒ และเรียกจำเลยที่ ๓ สำนวนแรกว่า จำเลยที่ ๓
ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสามแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าภาษีอากรจำนวน ๑,๒๖๐,๗๐๕ พร้อมเงินเพิ่มภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงินภาษีแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ ทั้งนี้โดยไม่เกินต้นเงินภาษีแต่ละจำนวน แก่โจทก์ ให้ยกฟ้องสำนวนหลัง จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ให้ศาลภาษีอากรกลางทำการพิจารณาสืบพยานและทำคำพิพากษาตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน ๒๐๐ บาท ให้แก่จำเลยทั้งสาม ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ศาลภาษีอากรกลางรวมส่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาใหม่แล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑,๒๖๐,๗๐๕ บาท พร้อมเงินเพิ่มภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงินภาษีแต่ละจำนวนนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ ทั้งนี้โดยไม่เกินต้นเงินภาษีแต่ละจำนวนแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องสำนวนหลัง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองสำนวนและทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ชำระบัญชีและจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๐ ต่อมาเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๑ เจ้าพนักงานประเมินได้ออกหมายเรียกจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ ให้ไปพบเจ้าพนักงานประเมินและนำบัญชีกับเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๓๙ และ ๒๕๔๐ ไปมอบให้เจ้าพนักงานประเมินเพื่อตรวจสอบ จำเลยที่ ๒ มิได้ไปพบเจ้าพนักงานประเมินและมิได้นำบัญชีกับเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีไปมอบให้เจ้าพนักงานประเมินตามหมายเรียก เจ้าพนักงานประเมินจึงประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งสองรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวแล้วมีหนังสือแจ้งภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ ๑๐๐๖๐๕๐/๒/๑๐๐๐๘๘ และ ที่ ๑๐๐๖๐๕๐/๒/๑๐๐๐๘๙ ให้ จำเลยที่ ๑ ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีปี ๒๕๓๙ และ ๒๕๔๐ พร้อมเงินเพิ่มรวมจำนวน ๑๙๔,๕๘๓.๘๑ บาท และจำนวน ๑๒๑,๘๒๔.๒๒ บาท ตามลำดับ กับมีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเลขที่ ๑๐๐๖๐๕๐/๕/๑๐๒๑๙๘ ถึง ๑๐๒๒๑๐ รวม ๑๓ ฉบับ ให้จำเลยที่ ๑ ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มคำนวณถึงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๒ สำหรับเดือนภาษีกรกฎาคม ๒๕๓๙ ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๐ รวมจำนวน ๑,๔๐๓,๑๗๙ บาท จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีภาษีมูลค่าเพิ่มให้ลดเบี้ยปรับคงเหลือเรียกเก็บร้อยละ ๕๐ ของเบี้ยปรับตามกฎหมาย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องคือ สำนวนแรกเพื่อขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ค่าภาษีอากรตามการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ภายหลังจากที่โจทก์ได้แจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจาณาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ ทราบแล้ว เมื่อจำเลยที่ ๒ ไม่ชำระหนี้ค่าภาษีอากรให้แก่โจทก์ หนี้ค่าภาษีอากรตามการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงเป็นหนี้ค่าภาษีอากรค้าง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามให้ชำระภาษีจำนวนดังกล่าวตามฟ้องได้โดยไม่ต้องรอให้พ้นกำหนด ๓๐ วัน และแม้ต่อมาจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ ได้ยื่นฟ้องคือ สำนวนคดีหลังเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้วก็ตาม ย่อมไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์หมดไป อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามใน ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ