คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11465/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นคนนำรถเกรดถนนของ ส. ที่ฝากไว้แก่ผู้เสียหายไปจากความครอบครองของผู้เสียหาย ตามที่ผู้เสียหายแจ้งให้จำเลยเคลื่อนย้ายไปจากปั้มแก๊สของผู้เสียหาย เป็นกรณีที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองทรัพย์ส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลยด้วยความสมัครใจ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
แม้จำเลยรับรถเกรดถนนไปเพราะได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องนำรถเกรดถนนไปคืนแก่ทายาทของ ส. การที่จำเลยไม่นำไปคืน แต่กลับนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตนด้วยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใด ทั้งๆ ที่ไม่ใช่รถเกรดถนนของตน ถือได้ว่าเมื่อจำเลยรับรถเกรดถนนไว้ในครอบครองแล้ว จำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 แต่เป็นความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคแรก
ผู้จัดการมรดกของ ส. รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิดและร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนโดยจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงฟังได้ว่ามีการร้องทุกข์ภายในสามเดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิดแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 96
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 335 เมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคแรก แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากที่กล่าวในฟ้อง ก็ไม่ใช่ข้อแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญและจำเลยไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกตามที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 350,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก จำคุก 4 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 350,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันโดยยืนยันว่าจำเลยเป็นคนติดต่อขอนำรถเกรดถนนออกไป ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าพยานโจทก์มีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เสียหายซึ่งรู้จักกับจำเลยมานานถึง 10 ปี จึงไม่มีสาเหตุต้องระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลยให้รับโทษทางอาญา คดีฟังเป็นที่ยุติว่าจำเลยเป็นคนนำรถเกรดถนนของนายโสภณที่ฝากไว้กับผู้เสียหายออกไปจากความครอบครองของผู้เสียหาย แต่การที่ผู้เสียหายเป็นคนแจ้งให้จำเลยเคลื่อนย้ายรถเกรดถนนออกไปจากปั๊มแก๊สของผู้เสียหาย เมื่อจำเลยโทรศัพท์ติดต่อผู้เสียหายขอนำรถเกรดถนนออกไป เป็นกรณีที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองทรัพย์ ส่งมอบการครอบครองให้แก่จำเลยด้วยความสมัครใจ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ เห็นว่า แม้ขณะที่จำเลยเอารถเกรดถนนของนายโสภณไปจะไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์เนื่องจากผู้เสียหายเป็นผู้ติดต่อขอให้จำเลยเคลื่อนย้ายรถเกรดถนนออกไปเพราะต้องการใช้พื้นที่และจำเลยได้รับรถเกรดถนนไปเพราะได้รับความยินยอมจากผู้เสียหายแล้วก็ตาม แต่จำเลยมีหน้าที่ต้องนำรถเกรดถนนไปคืนให้แก่ทายาทของนายโสภณ การที่จำเลยไม่นำไปคืน กลับนำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนด้วยวิธีการอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตาม ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่รถเกรดถนนของตน พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยถือได้ว่าเมื่อจำเลยได้รับรถเกรดถนนไว้ในครอบครองแล้วจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 แต่เป็นความผิดฐานยักยอก ตามมาตรา 352 วรรคแรก พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานของจำเลยไม่สามารถฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ส่วนปัญหาที่ว่า ความผิดฐานยักยอกเป็นความผิดอันยอมความได้ จะต้องร้องทุกข์หรือฟ้องคดีต่อศาลภายในกำหนดเวลา 3 เดือน นับแต่วันรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 ปรากฏข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ว่า นางนิลุบล ผู้จัดการมรดกของนายโสภณ ผู้ตาย เพิ่งจะรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดในเดือนธันวาคม 2543 และดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549 ส่วนจำเลยมิได้นำสืบในประเด็นดังกล่าวนี้ให้ฟังได้เป็นอย่างอื่น จึงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่ามีการร้องทุกข์ภายในกำหนดเวลา 3 เดือน นับแต่วันรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ส่วนในกรณีที่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 เมื่อศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอก ตามมาตรา 352 วรรคแรก แม้ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างจากที่กล่าวในฟ้อง ก็ไม่ใช่ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญ และจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกตามที่พิจารณาได้ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share