คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยนัดพบผู้เสียหายที่ที่เกิดเหตุแล้วผู้เสียหายยอมให้สร้อยคอกับจี้แก่จำเลยเพื่อนำไปขายเอาเงินมาให้พ่อแม่ผู้เสียหายตามข้อตกลงกรณีที่จำเลยเข้าห้องนอนผู้เสียหายก่อนเกิดคดีนี้4-5วันเพราะผู้เสียหายรักใคร่อยู่กับจำเลยส่วนที่จำเลยใช้มีดแทงว.พี่ชายของผู้เสียหายก็เพราะว. วิ่งไล่ทำร้ายจำเลยก่อนเป็นการป้องกันตนเองพอสมควรแก่เหตุการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา339ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่11ลงวันที่21พฤศจิกายน2514ข้อ14
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา339วรรค4จำคุก10ปีให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน2,500บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์มีนางสาวปราณีแก้วพวงผู้เสียหายกับนายวิจิตรแก้วพวงเป็นประจักษ์พยานโดยผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าไปนาตั้งแต่ประมาณ6นาฬิกาอีกประมาณ2ชั่วโมงนายวิจิตรจึงไปช่วยประมาณ9นาฬิกาพยานกลับบ้านก่อนระหว่างทางถูกจำเลยใช้แขนรัดคอลากเข้าไปในป่าข้างทางประมาณ4วาใช้มีดจี้คอแล้วกระชากสร้อยคำพร้อมจี้ไปพยานร้องขอความช่วยเหลือมีนายวิจิตรเข้ามาช่วยอีก3วาจะถึงจำเลยก็วิ่งหนีนายวิจิตรวิ่งตามอีกประมาณ5นาทีนายวิจิตรกลับมามีโลหิตไหลที่แขนแล้วพากันหลบหนีตอนจำเลยเอาสร้อยไปพยานบอกจำเลยว่าถ้าเอาไปแม่จะไม่ยอมให้ที่นาแก่พยานเพราะแม่ซื้อสร้อยให้ส่วนนายวิจิตรเบิกความว่าไปนาตั้งแต่ประมาณ6นาฬิกาต่อมาผู้เสียหายจึงไปช่วยเมื่อได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือของผู้เสียหายจึงวิ่งไปช่วยเห็นจำเลยใช้มีดจี้คอผู้เสียหายอยู่ข้างทางประมาณ10วาจำเลยวิ่งเข้าหาพยานพยานชกจำเลยใช้มีดแทงแล้วหนีไปจึงพาผู้เสียหายกลับบ้านโดยไม่ได้ซักถามเรื่องราวเลยดังนี้จะเห็นว่าประจักษ์พยานทั้งสองเบิกความขัดกันอยู่นับแต่เวลาที่ไปนาใครก่อนใครหลังระยะจากข้างทางถึงจุดที่จำเลยจี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายซึ่งต่างกันครึ่งต่อครึ่งตลอดจนพฤติการณ์ที่นายวิจิตรถูกแทงผู้เสียหายว่าจำเลยวิ่งหนีนายวิจิตรวิ่งตามไปแต่นายวิจิตรว่าจำเลยวิ่งเข้าหาตนหรือไม่ได้หนีนั่นเองซึ่งต้องแทงกันต่อหน้าผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายไม่ได้รู้เห็นการแทงกันแต่อย่างใดประจักษ์พยานของโจทก์จึงขัดกันในข้อสาระสำคัญฟังไม่ได้ว่าจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายชิงเอาสร้อยคอพร้อมจี้ไปจากผู้เสียหายและเมื่อพิจารณาคำเบิกความของผู้เสียหายที่บอกจำเลยขณะเอาสร้อยไปว่า”ถ้าเอาไปแม่จะไม่ยอมให้ที่นาแก่พยานเพราะแม่ซื้อสร้อยให้”ประกอบด้วยแล้วจะเห็นชัดขึ้นว่าเป็นการกล่าวโต้ตอบกันโดยดีไม่ใช่คำกล่าวของผู้ที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายถูกจี้ทำร้ายดังผู้เสียหายอ้างเจือสมพยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบว่าจำเลยนัดพบผู้เสียหายที่ที่เกิดเหตุผู้เสียหายยอมให้สร้อยคำกับจี้แก่จำเลยไปขายนำเงินมาให้พ่อแม่ผู้เสียหายตามข้อตกลงกรณีที่จำเลยเข้าห้องนอนผู้เสียหายในเวลาวิกาลก่อนเกิดคดีนี้4-5วันเพราะผู้เสียหายรักใคร่อยู่กับจำเลยส่วนที่จำเลยใช้มีดแทงนายวิจิตรนั้นจำเลยต่อสู้ว่าทำไปเพื่อป้องกันตัวโจทก์มีนายวิจิตรปากเดียวยืนยันว่าจำเลยแทงจากการต่อสู้กันผู้เสียหายไม่มีส่วนรู้เห็นแต่อ้างว่านายวิจิตรเป็นฝ่ายไล่ทำร้ายจำเลยไปเจือสมข้างจำเลยที่นำสืบไว้ก่อนว่านายวิจิตรโกรธจำเลยที่ลอบมาพบกับผู้เสียหายซึ่งเป็นน้องของตนอีกจึงไล่ทำร้ายจำเลยจึงจำเป็นต้องแทงป้องกันตัวในคดีอาญาโจทก์มีภาระการพิสูจน์ให้ได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดจริงเมื่อโจทก์มีเพียงนายวิจิตรผู้เสียหายเบิกความยันคำอยู่กับจำเลยเท่านั้นทั้งบาดแผลก็เล็กน้อยแพทย์ลงความเห็นว่ารักษา3-4วันหายจึงฟังได้ว่าจำเลยแทงนายวิจิตรเพื่อป้องกันตัวและพอสมควรแก่เหตุดังจำเลยต่อสู้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share