คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397-1398/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุคคลที่นายอำเภอท้องที่แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าชลประทานตามพ.ร.บ. การชลประทานราษฎร์ ย่อมเป็นเจ้าพนักงานตามกฏหมาย
จำเลยเป็นผู้แทนราษฎร กฏหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 ม. 80 ห้ามมิให้รับตำแหน่งหรือหน้าที่จากรัฐโดยมีประโยชน์ตอบแทน จำเลยได้รับแต่งตั้งจากนายอำเภอให้เป็นหัวหน้าการชลประทานราษฎร แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นตำแหน่งที่ได้รับประโยชน์ตอบแทน เช่นนี้จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ถือว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานโดยชอบด้วยกฏหมาย
การที่โจทก์บรรยายในฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน 2493 ถึงวันที่ 17 ตุลาคม 2493 จำเลยเบิกเงินคลังไป 3 งวด 100,000 บาท ครั้นระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน 2493 ถึง 2 ธันวาคม 2493 เวลากลางวันและกลางคืนจำเลยบังอาจสมคบกันกระทำหลักฐานเท็จและปลอมหนังสือหลายครั้ง โดยทำใบสำคัญจ่ายเงินค่าซ่อมฝายปลอมหลายฉบับ เป็นเงิน 65,744 บาท แสดงต่อกรมชลประทาน ซึ่งความจริงจำเลยหาได้จ่ายเงินไปตามใบสำคัญเหล่านั้นไม่ จำเลยกลับบังอาจมีเจตนาทุจริตคิดยักยอกเงิน 65,744 บาท และต่อไปก็บรรยายถึง วันเดือนปีใบสำคัญที่จำเลยทำทุจริตทุกฉบับเป็นข้อ ๆ เช่นนี้ไม่เป็นการเคลือบคลุม
อนึ่ง การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าระหว่างวัน…..ถึงวัน……. จำเลยไดบังอาจยักยอกสิ่งของ แต่วันต้นของฟ้องเป็นวันที่จำเลยยังไม่ได้รับมอบสิ่งของที่ถูกหายักยอก เพราะความพลั้งเผลอ แต่โจทก์มีพยานสืบว่าจำเลยได้รับของในระหว่างวันในฟ้องนั้น และจำเลยยักยอกไประหว่างนั้น เช่นนี้ยังไม่เป็นการฟ้องเคลือบคลุม.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้มูลกรณีเดียวกัน ศาลจึงได้รวมพิจารณา ในคำฟ้องมีว่านายจำรัส มหาวงสนั่นท์ จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานโดยเป็ฯสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดน่าน และเป็นหัวหน้าชลประทานราษฎร์ นายสมุนจังหวัดน่าน รัฐบาล(กรมชลประทาน) ให้มีหน้าที่จัดขึ้นสิ่งของและทำการซ่อมแซมฝ่ายสมุนให้ถาวรมั่นคง จำเลยได้บังอาจสมคบกันทำผิดกฏหมายหลายกระทงต่างวาระกันคือ
ก. เมื่อวันที่ ๒๕ เม.ย. ๒๔๙๓ นายจำรัสจำเลยได้รับเครื่องสูบน้ำ ๒ เครื่อง ราคา ๒๖,๖๔๐ บาท จากกรมชลประทานเพื่อนำไปไว้เป็นสมบัติของชลประทานราษฎร์ฝ่ายสมุน ครั้นวันเวลาใดไม่ปรากฏระหว่างวันที่ ๒๓ เม.ย. ๒๔๙๓ ถึงวันที่ ๒๘ ก.พ. ๒๔๙๔ นายจำรัสจำเลยได้ทุจริตยักยอกเอาสูบน้ำ ๒ เครื่องนั้นเสียโดยไม่มีอำนาจกระทำได้ เหตุเกินที่ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน และตำบลทุ่งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่
ข. เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๔๙๓ นายจำรัสได้รับมอบสิ่งของเครื่องใช้ในการซ่อมฝายสมุนหลายอย่างซึ่งกรมชลประทานส่งฝ่านกรมการจังหวัด กรมการอำเภอเมืองน่าน และรับมอบสิ่งของเครื่องใช้ซึ่งจำเลยเอาเงินของทางราชการกรมชลประทานจัดซิ้อเองอีกหลายอย่าง ครั้นระหว่างวันที่ ๒๓ ส.ค. ๒๔๙๓ ถึงวันที่ ๓ เม.ย. ๒๔๙๔ วันเวลาใดไม่ปรากฏนายจำรัสได้บังอาาจทุจริตยักยอกเอาสิ่งของเหล่านี้ปรากฏตามรายละเอียดในบัญชีท้ายฟ้อง รวมราคา ๖๘๐๓.๑๔ บาท เหตุเกิดที่ตำบลในเวียง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน
ค. เมื่อระหว่างวันที่ ๑๕ มิถุนายน ถึง ๑๗ ตุลาคม ๒๔๙๓ เวลากลางวัน นายจำรัสได้เบิกเงินในราชการของกรมชลประทานรับไปจากคลังจังหวัดน่านรวม ๓ งวด เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้จ่ายทำการซ่อมฝายสมุน ครั้นระหว่างวันที่ ๑๕ มิถุนายน ถึงวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๔๙๓ เวลากลางวันและกลางคืนจำเลยทั้งสสสองได้สมคบกันกระทำหลักฐานเท็จและปลอมหนังสือหลายครั้งหลายหนโดยทำใบสำคัญหลายฉบับ รวมเงิน ๖๕,๗๔๔ บาท ส่งไปแสดงต่อกรมชลประทาน โดยให้กรมชลประทานสำคัญผิด เชื่อว่าในสำคัญเหล่านั้น เป็นหลักฐานที่แท้จริง ซึ่งจำเลยได้จ่ายเงินซ่อมฝานสมุนไป ซึ่งความจริงแล้วจำเลยหาได้จ่ายเงิน ๖๕,๗๔๔ บาทไปตามนั้นไม่ จำเลยทุจริตยักยอกเอกเป็นประโยชน์คนและพวกเสีย การทำหลักฐานเท็จและปลอมใบสำคัญดังกล่าว จำเลยกระทำดังนี้
๑. เมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏ ระหว่างวันเดือนปีในฟ้องข้อ ก. จำเลยสมคบกันทำใบสำคัญรับเงินปลอม ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๙๓ ว่าได้ซื้อไม้ ๑๐๐ ท่อน จากนายบุญเติม ราคา ๑,๐๐๐ บาท นายบุญเติมได้รับเงินไปแล้ว ซึ่งความจริงนายบุญเติมมิได้ขายไม้ตามใบสำคัญแก่จำเลย และไม่เคยรับเงิน จำเลยยักยอกเงิน ๑,๐๐๐ บาทนี้เสีย
๒. เมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏ ตามฟ้อง ข้อ ค. จำเลยสมคบกันทำใบสำคัญปลอมลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๙๓ ว่าได้ไม้คร่าวจากนายบุญเติม ๒๐๐ เล่ม เงิน ๒,๐๐๐ บาท นายบุญเติมได้รับเงินไปแล้ว ซึ่งความจริงนายบุญเติมมิได้ขายไม้ดังกล่าว และไม่เคยรับเงินจากจำเลย
ฯลฯ (รวม ๑๐ ข้อ)
รวมทรัพย์ที่ยักยอกไป ๙๙,๑๗๘.๑๔ บาท การกระทำของจำเลยตามฟ้อง ข้อ ค. เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ยักยอกทรัพย์ ปลอมหนังสือ และทำหลักฐานเท็จ เสียหายแก่กรมชลประทานและเสียหายแก่สาธารณชน จึงขอให้ศาลลงโทษและบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
นายจำรัสให้การปฏิเสธฟ้องตลอดและแก้ว่าจำเลยเป็นผู้แทนราษฏร ไม่ใช่เป็นข้อราชการ จำเลยดำเนินงานไปก็โดยอัธยาศัยไมตรี ซึ่งอยู่ในความดูแลของคณะกรมการอำเภอจังหวัดน่าน และต่อสู้ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ส่วนนายชื่นให้การว่ามิได้สมคบรู้เห็นกับนายจำรัส
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยยักยอกเครื่องสูบน้ำ สังกะสีและถัง ผิดตามกฏหมายอาญา มาตรา ๑๓๑ พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๙๔ มาตรา ๓ ให้จำคุก ๑ ปี แต่ให้รอการลงอาญาไว้ ให้คืนสูบน้ำกับคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ส่วนนายชื่นจำเลยให้ปล่อยพ้นข้อหาไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ว่า นายจำรัสจำเลยผิดตามกฏหมายลักษณะอาญา มาตรา ๑๓๑ และ ๒๓๐ พ.ร.บ. อนุมัติพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมกฏหมายลักษณะอาญา พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๓ รวมกระทงลงโทษ จำคุกนายจำรัส ๕ ปี ส่วนนายชื่นผิดตามกฏหมายลักษณะอาญา มาตรา ๒๓๐ฐ ๖๕, ๕๙ จำคุก ๑ ปี ๘ เดือน แต่ให้รอการลงอาญาไว้ ๓ ปี และให้นายจำรัสคืนหรือใช้เงิน ๖๕,๗๔๔ บาท และคืนสูบน้ำด้วย
นายจำรัสจำเลยและโจทก์ฏีกา
ศาลฏีกาวินิจฉัยว่า
ก. ที่จำเลยอ้างว่า จำเลยกระทำผิดในขณะใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๙๒ มาตรา ๘๐ ให้บัญญัติห้ามมิให้จำเลยซึ่งเป็นสมาชิกผู้แทนราษฏร รับตำแหน่งหรือหน้าที่ใดจากรัฐ โดยมีประโยชน์ตอบแทน ฉะนั้น การที่อำเภอแต่งตั้งจำเลยให้เป็นหัวหน้าการชลประทานราษฎร์ จึงไม่มีผลให้จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน จะถือว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมิได้ จำเลยจะต้องมีประโยชน์ตอบแทน เห็นว่าการรับแต่งตั้งนี้ไม่ปรากฏว่าเป็นตำแหน่งที่มีประโยชน์ตอบแทน จึงไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ต้องถือว่าจำเลยเป็นเจ้าของพนักงานอยู่ขณะทำผิด
ข. เรื่องยักยอกสูบนั้น โจทก์บรรยายฟ้องเคลือบคลุม เพราะกล่าวว่าจำเลยรับเครื่องสูบน้ำ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๙๓ แต่กล่าวว่ายักยอกเมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน เท่ากับกล่าวว่าจำเลยยักยอกก่อนได้รับมอบ ศาลเห็นว่าตามฟ้องกล่าวว่า เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๙๓ จำเลยได้รับเครื่องสูปน้ำ ฯ ครั้นเมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏระหว่างวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๔๙๓ ถึง ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๓๔ จำเลยได้มีเจตนาทุจริตยักยอกฯ เช่นนี้เห็นชัดว่า น่าจะเป็นเพราะพลั้งเผลอ ซึ่งไม่ทำให้จำเลยเข้าใจผิดในคำฟ้องแต่อย่างใด เพราะโจทก์สืบได้ว่าจำเลยรับสูปน้ำไว้เมื่อ ๒๓ สิงหาคม ๒๔๙๓ แล้วจะเลยเอาไปขายแก่ผู้อื่น เจ้าพนักงานไปจับมาได้ จึงไม่มีเหตุที่จะยกฟ้อง
ค. จำเลยเถียงว่า ฟ้องข้อ ค. เคลือบคลุม เพราะไม่ได้กล่าวถึงวันเวลา ที่จำเลยยักยอกนั้น ปรากฏในคำฟ้องมีใจความว่า “เมื่อระหว่างวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๔๙๓ ถึง ๑๗ ตุลาคม ๒๔๙๓ จำเลยเบิกเงินจากคลังจังหวัดไป ๓ งวด เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ครั้นระหว่างวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๔๙๓ ถึง ๒ ธันวาคม ๒๔๙๓ เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยบังอาจสมคบกับนายชื่น กระทำหลักฐานเท็จ และปลอมหนังสือหลายครั้ง โดยทำใบสำคัญจ่ายเงินค่าซ่อมแซมฝายปลอมหลายฉบับ เป็นเงิน ๖๕,๗๔๔ บาท แสดงต่อกรมชลประทาน ซึ่งความจริงจำเลยหาได้จ่ายเงินไปตามใบสำคัญเหล่านั้นไม่ จำเลยกลับบังอาจมีเจตนาทุจริตยักยอกเงิน ๖๕,๗๔๔ บาท” และต่อไปโจทก์ได้บรรยายถึงวันเดือนปี ในใบสำคัญทุก ๆ ฉบับ ที่ว่าจำเลยทำทุจริตเป็นข้อ ๆ ไป เช่นนี้ จะว่าเป็นเคลือบคลุมไม่มีวันเดือนปีที่กระทำผิด มิได้ เพราะโจทก์ได้กล่าวตอนต้นแล้วว่า ระหว่างวันที่๑๕ มิถุนายน ๒๔๙๓ ถึง ๒ ธันวาคม ๒๔๙๓ื จำเลยกระทำการทุจริตและได้กล่าวถึงวันเดือนปีในใบสำคัญ นับว่าเป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้ว ไม่เคลือบคลุม ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้อย่างใด ทั้งนี้เพราะโจทก์ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าจำเลยกระทำการทุจริต เงินจำนวนใดในวันไหนแน่
ฯลฯ
จึงพิพากษาว่าจำเลยผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา ๑๔๗,๑๖๒ ให้แก้โทษจำของนายจำรัสเป็นจำคุก ๒ ปี ๖ เดือน นอกนั้นยืน.

Share