คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9146-9147/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์กล่าวบรรยายมาในฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจำหน่ายโดยการขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2,000 เม็ด ที่มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ยืนยันว่าเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2,000 เม็ดดังกล่าวคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เกินหนึ่งร้อยกรัม แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องว่า เมทแอมเฟตามีนจำนวน 151,600 เม็ด ที่จำเลยทั้งสี่มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 2,962.120 กรัม ก็ตามก็ไม่อาจสันนิษฐานให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสี่ว่าเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2,000 เม็ด อันเป็นส่วนหนึ่งของจำนวน 151,600 เม็ด สามารถคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้เกินหนึ่งร้อยกรัม จึงต้องรับฟังว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจำหน่ายมีปริมาณคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม คงเป็นความผิดตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง เท่านั้น

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสองสำนวนว่าโจทก์ เรียกจำเลยในสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และเรียกจำเลยในสำนวนหลังว่า จำเลยที่ 4
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและแก้ไขคำฟ้องเป็นใจความว่าเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2544 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 151,600 เม็ด คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 2,962.120 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2,000 เม็ด น้ำหนักไม่ปรากฏชัด อันเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปในราคา 60,000 บาท โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ขนาด .38 หมายเลยทะเบียน กพ 1/2223 ของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตจากพนักงาน 1 กระบอก กับกระสุนปืนรีวอลเวอร์ ขนาด .38 จำนวน 37 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลสลกบาตร อำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 151,600 เม็ด กับอาวุธปืนพกดังกล่าวเป็นของกลาง ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ตัวจำเลยที่ 4 มาดำเนินคดี ก่อนคดีนี้จำเลยที่ 3 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 4 ปี ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ตามคดีอาญาหมายเลยแดงที่ 2995/2540 ของศาลจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 3 มีอายุเกินกว่า 17 ปี และได้กระทำความผิดคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 102 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบยาเสพติดให้โทษของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 ตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง, 102 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลงโทษประหารชีวิต ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนลงโทษจำคุกคนละ 20 ปี และจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม อีกกระทงหนึ่ง ลงโทษจำคุก 6 เดือน เนื่องจากโทษของจำเลยที่ 3 สูงถึงประหารชีวิตแล้ว จึงไม่อาจเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ มาตรา 97 ได้อีก และเมื่อวางโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่ในความผิดกระทงแรกแล้ว ย่อมไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดกระทงอื่นมารวมได้อีกคงลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสี่เพียงสถานเดียว สำหรับจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพมาโดยตลอด และให้ความร่วมมือในการจับกุมเป็นอย่างดีโดยนำเจ้าพนักงานไปยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 150,000 เม็ด ได้จากที่ซ่อนในทุ่งนา นับเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอย่างมาก กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52 (2) คงจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3 แม้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน แต่ในชั้นพิจารณากลับนำสืบปฏิเสธ เป็นการไม่สำนึกในความผิด อีกทั้งยาเสพติดให้โทษของกลางมีจำนวนมากถึง 151,600 เม็ด หากแพร่กระจายออกไปสู่ประชาชนจะก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อผู้เสพและบุคคลอื่น นับเป็นการกระทำที่บั่นทอนความสงบสุขของสังคม และยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติอีกด้วยถือเป็นความผิดที่ร้ายแรง สมควรลงโทษสถานหนัก จึงไม่ลดโทษให้ ริบยาเสพติดให้โทษของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบของจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ที่ถูกประกอบด้วยมาตรา 52 (1)) คนละหนึ่งในสาม ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุกคนละตลอดชีวิต ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนคงจำคุกคนละ 12 ปี 16 เดือน ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน รวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ที่ถูกประกอบด้วยมาตรา 52 (2) )กึ่งหนึ่ง ฐานะร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน ไวในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 40 ปี ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 10 ปี รวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหยด 50 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนนี้ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น สำหรับจำเลยที่ 4 พยานหลักฐานโจทก์คงรับฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 4 ร่วมตรวจดูเงินที่ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2,000 เม็ด และเมื่อจำเลยที่ 1 ส่งมอบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,600 เม็ด ให้แก่สิบตำรวจตรีนิรันดร์แล้ว สิบตำรวนตรีนิรันดร์ทักท้วงว่ามีไม่ครบตามจำนวนที่ขอซื้อไว้ 2,000 เม็ดจำเลยที่ 4 รู้เห็นเหตุการณ์ตอนนี้ด้วย แต่เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไปเอาเมทแอมเฟตามีนจากที่ซ่อนเพื่อจะมาส่งมอบให้ครบจำนวน จำเลยที่ 4 ได้เดินไปทางสระน้ำข้างบ้าน และหลบหนีไปก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนอีก 150,000 เม็ด ที่ซุกซ่อนอยู่ ประกอบกับจำเลยที่ 4 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอดการกระทำความผิดของจำเลยที่ 4 เฉพาะที่เกี่ยวกับเมทแอมเฟตามีนจำนวน 150,000 เม็ด จึงยังไม่แน่ชัด ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 4 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ข้อเท็จจริงคงรับฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 4 ร่วมมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,600 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเท่านั้น ฎีกาของจำเลยที่ 4 ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นได้ว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวนมากถึง 151,600 เม็ด คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ถึง 2,962.120 กรัม การกระทำของจำเลยที่ 2 กับพวกถือได้ว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของชาติ ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มานั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
แต่อย่างไรก็ดีความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โจทก์กล่าวบรรยายมาในฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจำหน่ายโดยการขายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2,000 เม็ด น้ำหนักไม่ปรากฏชัด อันเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ยืนยันว่าเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2,000 เม็ด ดังกล่าว คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้เกินหนึ่งร้อยกรัม แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องว่า เมทแอมเฟตามีนจำนวน 151,600 เม็ด ที่จำเลยทั้งสี่มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น คำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 2,962.120 กรัม ก็ตาม ก็ไม่อาจสันนิษฐานให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยทั้งสี่ว่าเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2,000 เม็ด อันเป็นส่วนหนึ่งของจำนวน 151,600 เม็ด สามารถคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้เกินหนึ่งร้อยกรัม จึงต้องรับฟังว่าเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจำหน่ายมีปริมาณคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม คงเป็นความผิดตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง เท่านั้น ฉะนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสอง นั้น จึงเป็นการไม่ชอบ
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน โดยในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ทั้งกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่คงใช้ข้อความทำนองเดียวกัน แต่เงื่อนไขที่เป็นองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายเดิมเป็นคุณมากกว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ จึงต้องใช้กฎหมายเดิมในส่วนที่เป็นบทความผิดบังคับ สำหรับควาผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น เมทแอมเฟตามีนของกลางคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้ 2,962.120 กรัม บทกำหนดโทษตามมาตรา 66 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสี่ จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับ ส่วนความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น ไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางมีปริมาณคำนวณเป็นน้ำหนักสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด กรณีจึงต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสี่มากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง รวมทั้งกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับกฎหมายที่แก้ไขใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 224”
พิพากษาแก้เป็นว่าในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง (เดิม), 66 วรรคสอง (เดิม) เฉพาะจำเลยที่ 4 ให้ลงโทษจำคุก 12 ปี ส่วนในความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) ในความผิดฐานนี้ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 12 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละหนึ่งในสาม และลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 8 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี รวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละตลอดชีวิต จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 46 ปี และจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 24 ปี นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share