แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์วางเงินประกัน 15,887.50 บาท เพื่อขอทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์โดยทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2534 ว่า หากโจทก์แพ้คดีและไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษา ยินยอมให้บังคับเอากับเงินที่นำมาเป็นหลักประกันได้แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์แพ้คดี และคดีถึงที่สุดแล้วแต่ตราบใดที่โจทก์ยังไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาก็ยังไม่มีสิทธิขอรับเงินที่วางไว้คืน โจทก์จะมีสิทธิร้องขอคืนได้ต่อเมื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์นำเงินจำนวนใหม่มาวางชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2544โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องขอรับเงินที่วางเป็นหลักประกันคืนตั้งแต่วันดังกล่าวหาใช่นับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดไม่ โจทก์ขอรับเงินคืนเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2544ยังไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่มีสิทธิเรียกร้อง เงินนั้นจึงไม่ตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 โจทก์มีสิทธิขอรับเงินคืนไปได้
ย่อยาว
สืบเนื่องจากคดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยเรียกบริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด เป็นโจทก์ที่ 1 นายพอน วงศ์เป็นสุข เป็นโจทก์ที่ 2 นายทวีปธรรมทวีวโรดม เป็นโจทก์ที่ 3 เรียกนายอำนวย สุนทร เป็นจำเลยที่ 1 บริษัทขนส่งบางละมุงจำกัด เป็นจำเลยที่ 2 บริษัทคอมเมอร์เชียลยูเนียนประกันภัย จำกัด เป็นจำเลยที่ 3 ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องสำนวนคดีแรก และสำหรับสำนวนคดีหลังให้โจทก์ทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยที่ 2 โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์เฉพาะสำนวนคดีแรก ส่วนสำนวนคดีหลังมีทุนทรัพย์ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงจึงไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งและวางเงิน11,937.50 บาท เป็นประกันสำหรับหนี้ที่ต้องชำระตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีมีทุนทรัพย์ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ ส่วนคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีในระหว่างอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์อนุญาตโดยให้วางประกันโจทก์ที่ 1 ขอใช้เงินที่วางไว้แล้ว11,937.50 บาท และที่วางเพิ่มอีก 3,950 บาท รวม 15,887.50 บาท เป็นประกันในการทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2536 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นคดีถึงที่สุดต่อมาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2544 โจทก์ที่ 1วางเงินจำนวน 22,366.88 บาท ชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาเสร็จสิ้นไปแล้ว
โจทก์ที่ 1 ยื่นคำแถลงฉบับลงวันที่ 9 ตุลาคม 2544 ขอรับเงินที่วางเป็นประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์จำนวน 15,887.50 บาท คืน
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำแถลงแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์ที่ 1 ขอรับเงินคืนเมื่อพ้นกำหนด5 ปี นับแต่คดีถึงที่สุด เงินดังกล่าวจึงตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ยกคำแถลง
โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัย “เห็นว่า เงินที่โจทก์ที่ 1 วางเป็นหลักประกันจำนวน 15,887.50บาท เพื่อขอทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างอุทธรณ์โดยทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2534 ว่า หากโจทก์ทั้งสามแพ้คดีและไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษายินยอมให้บังคับเอากับเงินที่นำมาเป็นหลักประกันได้ แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ที่ 1 แพ้คดี และคดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่โจทก์ที่ 1 ยังไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาก็ยังไม่มีสิทธิขอรับเงินที่วางไว้ดังกล่าวคืน โจทก์ที่ 1 จะมีสิทธิร้องขอคืนได้ต่อเมื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ดังนั้น เมื่อโจทก์ที่ 1 นำเงินจำนวนใหม่มาวางชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2544โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกร้องขอรับเงินที่วางเป็นหลักประกันคืนตั้งแต่วันดังกล่าวหาใช่นับแต่วันที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ โจทก์ที่ 1 ขอรับเงินคืนเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2544 ยังไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่มีสิทธิเรียกร้อง เงินนั้นไม่ตกเป็นของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 โจทก์จึงมีสิทธิขอรับเงินจำนวนดังกล่าวคืนไปได้ อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 1 ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้คืนเงิน 15,887.50 บาท แก่โจทก์ที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ