คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749-750/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยโดยให้วางโทษทั้งจำคุกและปรับ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเพียงเล็กน้อยในข้อให้ลดโทษฐานปราณีตาม กฎหมายอาญา มาตรา 59 และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำขอให้ลงโทษของโจทก์ โจทก์มิได้อ้าง พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 69,73 คงอ้างมาแต่ พระราชบัญญัติป่าไม้(ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2494 มาตรา16,17 เช่นนี้ถือได้แล้วว่าฟ้องโจทก์ได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นความผิดและความใน พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ.2484 มาตรา 69,73 ได้ถูกยกเลิกตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2494 มาตรา 16,17 แล้ว เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้แม้ศาลจะอ้าง มาตรา 69 และ 73 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 เป็นบทลงโทษด้วยก็หาทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ไม่จึงถือว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) และการที่ศาลลงโทษจำเลยก็ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาแล้ว
ปัญหาว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่เพราะไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงถือว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้หยิบยกขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แต่จำเลยย่อมหยิบยกขึ้นโต้เถียงในชั้นศาลฎีกาได้เสมอ
ปรากฏว่าฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงจริงจึงถือว่าไม่เป็นฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(7) ศาลต้องยกฟ้องเสียโดยไม่จำต้องพิจารณาถึงปัญหาอื่นอีก
จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้แล้วแต่จำเลยต้องถูกขังเกินกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกและปรับมา ศาลควรต้องหักเวลาที่ต้องขังเกินกำหนดโดยคิดเป็นเงินวันละ1 บาท คืนให้จำเลยนั้นกรณีเป็นเรื่องบังคับตามคำพิพากษาเมื่อยังไม่ปรากฏว่าศาลล่างได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างไรย่อมถือว่ายังไม่มีปัญหามาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

ย่อยาว

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีไม้สักหวงห้ามไม่รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69, 73 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2494 (ฉบับที่ 3) มาตรา 16, 17 ให้จำคุก 1 เดือนปรับ 500 บาท กับฐานปลอมดวงตราในราชการตามกฎหมายอาญา มาตรา 211, 213 ให้จำคุก1 ปี รวมเป็นโทษจำคุก 1 ปี 1 เดือน ปรับ 500 บาทเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบอีก 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลย 1 ปี 5 เดือน 10 วันและปรับ 666.66 บาท ไม้กับดวงตราของกลางริบ

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ในคดีสำนวนแรกว่าจำเลยผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69, 73 และพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2494 มาตรา 16, 17 ให้จำคุก 1 เดือนปรับ 500 บาท เพิ่มโทษ 1 ใน 3 และให้ลดโทษ 1 ใน 3 หักกลบลบกันไปไม่ต้องเพิ่มไม่ต้องลดส่วน สำนวนหลังให้ยกฟ้อง

โจทก์และจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีแล้วจะได้วินิจฉัยฎีกาโจทก์และจำเลยรวมกันไปเห็นว่าคดีสำนวนแรกศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลจังหวัดลำพูนเพียงเล็กน้อยในข้อให้ลดโทษฐานปรานีตามกฎหมายอาญา มาตรา 59 และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ฉะนั้นข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติ ฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามข้อกล่าวหาของโจทก์

ส่วนปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยคัดค้านอันควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยคงมี

1. เรื่องโจทก์ไม่ได้อ้างพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69, 73 มาในฟ้องในคดีสำนวนแรกเลขแดงที่ 484/2497 ของศาลจังหวัดลำพูน อ้างมาแต่พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2494 มาตรา 16, 17 ที่แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69, 73 เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) และที่ศาลลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69, 73 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2494 มาตรา 16, 17 ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา

2. เรื่องฟ้องของโจทก์ในสำนวนคดีหลังเลขแดงที่ 485/2497 ของศาลจังหวัดลำพูนไม่เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่มีลายมือชื่อผู้เรียง

เกี่ยวกับปัญหาข้อ 1 นั้น จำเลยได้โต้แย้งคัดค้านมาตั้งแต่ศาลอุทธรณ์แล้ว ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์ได้อ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำของจำเลยนั้นเป็นความผิดและความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69, 73 ได้ถูกยกเลิกตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2494 มาตรา 16, 17 ที่โจทก์อ้างขอให้ลงโทษจำเลย เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสมศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้ แม้ศาลจะอ้างมาตรา 69, 73 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 เป็นบทลงโทษด้วยก็หาทำให้จำเลยพ้นผิดไปได้ไม่ ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) และการที่ศาลลงโทษจำเลยก็ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณา

สำหรับปัญหาข้อ 2 จำเลยเพี่งยกขึ้นโต้เถียงในชั้นฎีกา แต่ก็เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาได้ตรวจฟ้องของโจทก์ในคดีสำนวนหลังเลขแดงที่ 485/2497 ของศาลจังหวัดลำพูนก็ปรากฏว่าไม่มีลายมือชื่อผู้เรียงจริง ฟ้องของโจทก์ในคดีสำนวนหลังดังกล่าวแล้วจึงไม่เป็นฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(7) ศาลต้องยกฟ้องเสียไม่จำต้องพิจารณาถึงปัญหาอื่นอีก

ส่วนข้อที่จำเลยยกขึ้นคัดค้านในชั้นฎีกาว่าจำเลยได้ชำระค่าปรับตามคำพิพากษาศาลจังหวัดลำพูนไว้แล้ว แต่ต้องถูกขังเกินกำหนดเวลาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกและปรับมา ศาลควรหักเวลาที่ต้องขังเกินกำหนดเป็นเงินวันละ 1 บาทคืนเงินให้จำเลยนั้นศาลฎีกาใคร่จะชี้แจงว่า กรณีนี้เป็นเรื่องบังคับตามคำพิพากษายังไม่ปรากฏว่าศาลล่างได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร จึงไม่มีปัญหาจะวินิจฉัยให้

ด้วยเหตุดังกล่าวมาแล้วจึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share