คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10237/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต อนุมัติและดำเนินการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่าง ๆ ของเทศบาลตำบลสว่างแดนดิน 16 โครงการ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กระทำการโดยใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำการโดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าเสนอราคาอย่างเป็นธรรมอันทำให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน ราชการ เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน บริษัทห้างร้านที่มีอาชีพรับเหมาก่อสร้างทั่วไปหรือบุคคลอื่นและประชาชน ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ลงลายมือชื่อรับบันทึกรับส่งประกาศสอบราคา บันทึกรับเอกสารสอบราคาและบันทึกการยื่นซองสอบราคาซึ่งเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการทุจริตทั้ง 16 โครงการโดยที่ไม่มีการปิดประกาศเผยแพร่ไว้โดยเปิดเผย ณ ที่ทำการสำนักงานเทศบาล ตำบลสว่างแดนดินหรือให้มีการประชาสัมพันธ์การสอบราคาให้ประชาชนทั่วไปทราบ ทั้งเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลสว่างแดนดินบางส่วนก็ไม่ทราบ ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างทั่วไปไม่มีโอกาสเข้าแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม มีแต่จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับจำเลยอื่นเท่านั้นที่รู้และยื่นซองเสนอราคา พฤติกรรมของจำเลยที่ 3 และที่ 4 บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประกอบกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2
แม้ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 151, 157, 162 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 กฎหมายมุ่งประสงค์เอาผิดกับผู้กระทำความผิดที่เป็นเจ้าพนักงานแต่เอกชนก็ร่วมกระทำความผิดกับเจ้าพนักงานได้โดยต้องลงโทษเอกชนผู้ร่วมกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเอกชน ร่วมกระทำความผิดกับเจ้าพนักงานคือจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของเจ้าพนักงาน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสิบเอ็ดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 151, 157, 162 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4, 7, 9, 12
จำเลยทั้งสิบเอ็ดให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยทั้งสิบเอ็ดขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157, 162 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 7, 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157, 162 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 7, 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86 การกระทำของจำเลยทั้งสิบเอ็ดเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานร่วมกันเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 หรือกระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 5 ปี ลงโทษจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ฐานร่วมกันเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิด จำคุกจำเลยที่ 4, ที่ 6, ที่ 7, ที่ 9 และที่ 11 คนละ 3 ปี 4 เดือน ปรับจำเลยที่ 3, ที่ 5, ที่ 8 และที่ 10 คนละ 200,000 บาท จำเลยทั้งสิบเอ็ดให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 2 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 4, ที่ 6, ที่ 7, ที่ 9 และที่ 11 คนละ 1 ปี 8 เดือน ปรับจำเลยที่ 3, ที่ 5, ที่ 8 และที่ 10 คนละ 100,000 บาท จำเลยที่ 3, ที่ 5, ที่ 8 และที่ 10 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29
จำเลยทั้งสิบเอ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสิบเอ็ดฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ว่าพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้หรือไม่ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 กระทำความผิดตามฟ้อง จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ลงลายมือชื่อรับเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับโครงการที่มีการทุจริต 16 โครงการนั้น เป็นการรับตามความจริง จำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้รู้เห็นกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 และการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการกระทำความผิดเฉพาะตัวของเจ้าพนักงาน จำเลยที่ 3 และที่ 4 มิได้เป็นเจ้าพนักงานจึงไม่ต้องรับผิดด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชอบ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติโดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต อนุมัติและดำเนินการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างโครงการต่าง ๆ ของเทศบาลตำบลสว่างแดนดิน 16 โครงการ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กระทำการโดยใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำการโดยวิธีอื่นใดเป็นเหตุให้ผู้อื่นไม่มีโอกาสเข้าเสนอราคาอย่างเป็นธรรมอันทำให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน ราชการ เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลสว่างแดนดิน บริษัทห้างร้านที่มีอาชีพรับเหมาก่อสร้างทั่วไปหรือบุคคลอื่นและประชาชน สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้ความตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ลงลายมือชื่อรับบันทึกรับส่งประกาศสอบราคา บันทึกรับเอกสารสอบราคาและบันทึกการยื่นซองสอบราคาซึ่งเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับโครงการทุจริตทั้ง 16 โครงการโดยที่ไม่มีการปิดประกาศเผยแพร่ไว้โดยเปิดเผย ณ ที่ทำการสำนักงานเทศบาลตำบลสว่างแดนดินหรือให้มีการประชาสัมพันธ์การสอบราคาให้ประชาชนทั่วไปทราบ ทั้งเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลสว่างแดนดินบางส่วนก็ไม่ทราบ ผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างทั่วไปไม่มีโอกาสเข้าแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม มีแต่จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับจำเลยอื่นเท่านั้นที่รู้และยื่นซองเสนอราคา พฤติกรรมของจำเลยที่ 3 และที่ 4 บ่งชี้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประกอบกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานโจทก์ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่าศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 ชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้ความผิดตามฟ้อง กฎหมายมุ่งประสงค์เอาผิดกับผู้กระทำความผิดที่เป็นเจ้าพนักงานแต่เอกชนก็ร่วมกระทำความผิดกับเจ้าพนักงานได้โดยต้องลงโทษเอกชนผู้ร่วมกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน จำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเอกชน ร่วมกระทำความผิดกับเจ้าพนักงานคือจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของเจ้าพนักงาน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 และที่ 4 มานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับประเด็นเรื่องศาลชั้นต้นมิได้ใช้กระบวนพิจารณาไต่สวนชอบหรือไม่นั้นจำเลยที่ 3 และที่ 4 มิได้ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างในชั้นศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 เพิ่งจะยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาโดยทำเป็นคำแถลงการณ์ เมื่อไม่ได้กล่าวอ้างในฎีกาโดยตรงจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงไม่รับประเด็นนี้วินิจฉัยให้
ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 และที่ 11 ว่า ควรลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 9 และที่ 11 สถานเบาและรอการลงโทษให้หรือไม่กับลงโทษปรับจำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 8 สถานเบาหรือขั้นต่ำของกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พฤติกรรมของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 และที่ 11 มุ่งเอาแต่ประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้องไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและสังคมโดยส่วนรวม จึงเป็นเรื่องร้ายแรง ที่จำเลยอ้างว่าไม่เคยกระทำผิดและมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูครอบครัว ฯลฯ ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้กับลงโทษปรับสถานเบาหรือปรับเพียงขั้นต่ำของกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ใช้ดุลพินิจกำหนดโทษแก่จำเลยมานั้นไม่เกินอัตราโทษของกฎหมายและเหมาะสมแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 และที่ 11 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 10 นั้น เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 10 ไว้วินิจฉัย จำเลยที่ 10 มิได้ฎีกาโต้แย้งว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ดังกล่าวไม่ชอบ คดีสำหรับจำเลยที่ 10 จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและมิได้มีการว่ากล่าวกันมาโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 4 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยที่ 10 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 10 ไว้วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225
พิพากษายืน

Share