แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาที่ว่าข้อความที่จำเลยนำไปแจ้งต่อกรมการอำเภอนั้นจำเลยรู้ว่าเปนความเท็จหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีอาญาที่ศาลเดิมและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องโจทก์เสียโดยอาศัยข้อเท็จจริงโจทก์ฎีกาได้แต่ปัญหากฎหมาย
ย่อยาว
เดิมโจทย์ฟ้องจำเลยนี้หาว่าหมิ่นประมาทโดยที่จำเลยเที่ยวพูดต่อหน้าคนทั้งหลายว่าโจทก์จ้างผู้มีชื่อให้ฟันศีร์ษะสามีจำเลยซึ่งจำเลยรับสารภาพ และศาลได้ลงโทษจำเลยไปแล้ว บัดนี้โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยนี้อีกหาว่าแจ้งความเท็จเพราะจำเลยได้ไปแจ้งความต่อกรมการอำเภออีกด้วยว่าโจทก์จ้างผู้มืชื่อให้ฟันศีร์ษะสามีจำเลย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อความที่จำเลยนำไปแจ้งต่อกรมการอำเภอนั้นจำเลยมิได้รู้ว่าเปนเท็จ จำเลยทราบมาจากผู้อื่นและเชื่อว่าเปนความจริงจึงให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาอ้างว่าคำรับสารภาพในคดีที่จำเลยต้องหาว่าหมิ่นประมาทเปนหลักฐานยืนยันว่าจำเลยรู้ดีแล้วว่าข้อความที่ตนนำไปแจ้งต่อกรมการอำเภอนั้นเปนเท็จ
ศาลฎีกาตัดสินว่าฎีกาของโจทก์ไม่ใช่ข้อกฎหมาย เพราะปัญหาที่ว่าจำเลยรู้ว่าข้อความที่ตนไปแจ้งต่อกรมการอำเภอเปนเท็จหรือไม่นั้นเป็นข้อเท็จจริง ส่วนคำรับสารภาพของจำเลยในเรื่องก่อนก็เปนเพียงหลักฐานพะยานของโจทก์ส่วนหนึ่งศาลจะฟังประการใดแล้วแต่พฤตติการณ์ จึงให้ยกฎีกาโจทก์