คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ซึ่งมีหน้าที่และรับผิดชอบขับรถยนต์นำน้ำมันไปส่งให้แก่กรมช่างอากาศ แต่โจทก์หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ กลับยักยอกเอาน้ำมันดังกล่าวไปเป็นของบุคคลอื่นโดยทุจริต ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย การเลิกจ้างดังกล่าวจึงมาจากเหตุที่โจทก์ยักยอกทรัพย์และฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลย การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าแม้จะฟังไม่ได้ว่าโจทก์ยักยอกน้ำมัน แต่การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยนั้น เป็นการวินิจฉัยถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างตามที่ระบุไว้ในคำสั่งเลิกจ้างแล้ว มิใช่เป็นการยกเหตุอื่นนอกเหนือจากที่มีในคำสั่งเลิกจ้างมาวินิจฉัยคดีแต่อย่างใด
โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยผู้เป็นนายจ้างเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โบนัส เงินบำเหน็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม อันเป็นการฟ้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ที่เกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงานแม้โจทก์จะถูกดำเนินคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์ตามที่จำเลยกล่าวหาก็ไม่ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังนั้น ในการพิพากษาคดีศาลแรงงานกลางจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เคยทำงานเป็นพนักงานจำเลย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 14,830 บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยกล่าวหาว่าโจทก์กระทำผิดวินัยฐานปกปิดข้อเท็จจริงในการรายงานต่อผู้บังคับบัญชา ยักยอกทรัพย์ของจำเลย ให้ความร่วมมือและปกปิดการกระทำความผิดของผู้อื่น ทุจริตต่อหน้าที่ ฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งผู้บังคับบัญชาอันชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหาย โดยโจทก์ไม่มีความผิด โจทก์เคยขอให้จำเลยรับกลับเข้าทำงานแล้ว แต่จำเลยมีคำสั่งไม่รับโจทก์เข้าปฏิบัติงานและมีคำสั่งไม่จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินบำเหน็จ ค่าสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและเงินโบนัสประจำปี 2536 รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์ทั้งสิ้น 5,415,351.26 บาท (ที่ถูก5,395,341.26 บาท) แต่โจทก์ขอคิดจำนวน 5,400,000 บาทขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงิน 5,400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 2,778,647.66 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์เคยเป็นพนักงานขนส่งของจำเลยทำหน้าที่ขับรถส่งน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาต่อมาโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่รวมทั้งให้ความร่วมมือและปกปิดการกระทำความผิดของผู้อื่น ยักยอกทรัพย์ของจำเลย ฝ่าฝืนกฎระเบียบและคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่สั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้จำเลยเสียหายจำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายค่าชดเชย และมีผลทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามข้อบังคับจำเลยฉบับที่ 20 พ.ศ. 2524 ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ ข้อบังคับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2534 และข้อบังคับของคณะกรรมการองค์การเชื้อเพลิงว่าด้วยเงินบำเหน็จ พ.ศ. 2508 จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินบำเหน็จ ค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โบนัส และค่าเสียหายแต่อย่างใดขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ยักยอกน้ำมัน 80,000 ลิตรของจำเลย ร่วมมือปกปิดการกระทำผิดในการยักยอกน้ำมันหรือทุจริตต่อหน้าที่ อันจะเป็นความผิดตามข้อบังคับจำเลยว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2534 เอกสารหมายจล.15 ข้อ 71(14)(20) แต่โจทก์ทำหน้าที่พนักงานขับรถส่งน้ำมันซึ่งมีระเบียบปฏิบัติตามที่โจทก์ได้แถลงรับว่าการนำน้ำมันไปส่งจะต้องไปส่งตามที่ผู้บังคับบัญชาได้กำหนดไว้ในใบเบิกน้ำมันเท่านั้นจะไปส่งที่อื่นไม่ได้ เมื่อโจทก์ไม่กระทำตามระเบียบปฏิบัติและคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยนำน้ำมันไปส่งมอบแก่กองบิน 1 นอกจากสถานที่ ๆระบุไว้ในเบิกน้ำมัน จึงเกิดปัญหาและเป็นข้อโต้แย้งระหว่างหน่วยงานเป็นผลให้จำเลยในฐานะผู้จำหน่ายน้ำมันต้องรับผิดจ่ายน้ำมันให้กองบิน 1 ในฐานะลูกค้าเพิ่มเติมจากที่เคยให้โจทก์นำไปจ่ายน้ำมันให้จึงเป็นความผิดตามระเบียบจำเลย ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลพ.ศ. 2534 หมาย จล.15 ข้อ 71(23) และตามลักษณะของการกระทำความผิดในฐานะที่โจทก์เป็นพนักงานขับรถส่งน้ำมันมีหน้าที่ประการเดียวคือนำน้ำมันไปส่งตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายแต่กลับไม่กระทำการตามหน้าที่ที่ต้องรักษาประโยชน์ของนายจ้างทั้งการกระทำดังกล่าวเปิดช่องให้การทุจริตเกิดขึ้นได้โดยง่ายจึงเป็นการกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง การเลิกจ้างโจทก์ย่อมมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เงินบำเหน็จ โบนัส ค่าเสียหายและดอกเบี้ยตามฟ้องให้แก่โจทก์ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์อุทธรณ์ประการแรกและประการที่สองเป็นทำนองว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างโดยยกเหตุนอกเหนือจากที่มีในคำสั่งเลิกจ้างมาวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ตามคำสั่งเลิกจ้างเอกสารหมาย จล.1 ระบุเหตุแห่งการเลิกจ้างโจทก์ว่าในระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนธันวาคม2535 โจทก์มีหน้าที่และรับผิดชอบขับรถยนต์ของ ปตท. นำน้ำมันชนิดต่าง ๆ ตามที่ระบุในใบกำกับสินค้าจำนวน 11 ฉบับ รวม 80,000ลิตร ไปส่งให้แก่กรมช่างอากาศ ภายในบริเวณกองบิน 1 จังหวัดนครราชสีมาตามที่ระบุไว้ในใบกำกับสินค้า แต่โจทก์หาได้นำน้ำมันชนิดต่าง ๆ ตามจำนวนดังกล่าวไปส่งให้แก่กรมช่างอากาศจังหวัดนครราชสีมาแต่อย่างใดไม่ หากแต่โจทก์ได้ยักยอกเอาน้ำมันจำนวน80,000 ลิตร ที่ตนครอบครองเป็นของบุคคลอื่นโดยทุจริต เห็นได้ว่าเหตุแห่งการเลิกจ้างดังกล่าวนอกจากจะอ้างเหตุว่าโจทก์ยักยอกทรัพย์ของจำเลยแล้วยังได้อ้างรวมถึงเหตุที่ว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายเข้าไว้อีกด้วย ดังนั้น การที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า แม้ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ยักยอกน้ำมัน 80,000 ลิตรของจำเลย แต่การกระทำของโจทก์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบและคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหาย จึงเป็นการวินิจฉัยถึงเหตุแห่งการเลิกจ้างตามที่จำเลยระบุไว้ในคำสั่งเลิกจ้างเอกสารหมาย จล.1มิใช่เป็นการยกเหตุอื่นขึ้นใหม่ นอกเหนือจากที่มีในคำสั่งเลิกจ้างมาวินิจฉัยคดีแต่อย่างใด อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ส่วนอุทธรณ์ข้อสุดท้ายของโจทก์ที่ว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเมื่อคดีอาญามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าโจทก์ไม่มีความผิดฐานยักยอกน้ำมันจึงถือว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามระเบียบและคำสั่งของผู้บังคับบัญชาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยผู้เป็นนายจ้างเรียกค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โบนัส เงินบำเหน็จ และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม อ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดตามที่จำเลยกล่าวหา อันเป็นการฟ้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องในมูลหนี้ที่เกิดจากการผิดสัญญาจ้างแรงงาน แม้โจทก์จะถูกดำเนินคดีอาญาในความผิดที่จำเลยกล่าวหาดังกล่าวด้วยก็ไม่ทำให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาศาลแรงงานกลางจึงไม่ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”

พิพากษายืน

Share