คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยย้ายไปอยู่บ้านอีกแห่งห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร จากบ้านมารดา เป็นเวลา 3 ปี แล้ว แต่ยังคงมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านมารดา ก่อนถูกฟ้องจำเลยเคยได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์เนื่องจากไปเยี่ยมมารดาที่บ้าน เมื่อฟ้องคดีโจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปยังที่อยู่ตามทะเบียนบ้านและน้องเขยจำเลยเป็นผู้รับแทน จำเลยเพิ่งทราบว่าถูกฟ้องเนื่องจากหลานจำเลยนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องมาให้ ซึ่งโจทก์ก็มิได้นำสืบพยานว่าจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านใหม่ตามที่จำเลยอ้าง เมื่อจำเลยทราบนัดสืบพยานโจทก์และนัดไกล่เกลี่ยจำเลยและทนายความมาศาล และเมื่อปรากฏว่าที่ดินที่ตกลงซื้อขายเป็นที่ดินแจ้งเสียภาษีบำรุงท้องที่โดยจำเลยเป็นผู้แจ้งระบุว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน โดยโจทก์ได้ใช้ที่ดินนับแต่ตกลงซื้อจากจำเลยตั้งแต่ปี 2551 จนปี 2557 มีบุคคลอื่นมาโต้แย้ง โจทก์กลับยอมตามที่ผู้อื่นโต้แย้งและฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้หลังจากทำสัญญาซื้อขาย 8 ปี 1 เดือนเศษ จึงมีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและรับคำให้การจำเลยไว้พิจารณา ตาม ป.วิ.พ มาตรา 199 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน ภ.บ.ท.5 ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย โดยมีน้องเขยจำเลยรับหมายไว้แทนเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2559 แต่จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ต่อมาวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การพร้อมยื่นคำให้การมาแนบท้ายคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ยกคำร้อง แล้วพิจารณาคดีต่อไป และพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 330,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 8 ธันวาคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำให้การของจำเลย แล้วให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ และยกอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่จำเลย
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาเฉพาะคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในชั้นนี้โดยคู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านว่า จำเลยมีชื่อในทะเบียนบ้านเลขที่ 180 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2559 และนำส่งหมายเรียกกับสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2559 โดยน้องเขยจำเลยเป็นผู้รับหมาย อนึ่ง ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2559 ถึงจำเลยอ้างว่าผิดสัญญาขายที่ดิน ขอให้คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยและค่าปรับโดยส่งทางไปรษณีย์ตอบรับให้แก่จำเลยที่บ้านเลขที่ 180 ดังกล่าวข้างต้น จำเลยเป็นผู้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2559 (ฉบับที่ยื่นในชั้นไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560)
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำให้การของจำเลยชอบหรือไม่ เห็นว่า ผู้ที่รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องคือน้องเขยจำเลยมิใช่ตัวจำเลย แม้จำเลยจะมีชื่อในทะเบียนบ้าน แต่จำเลยก็นำสืบว่าเป็นบ้านมารดาจำเลยซึ่งขณะเกิดเหตุฟ้องจำเลยย้ายไปอยู่ที่บ้านอีกแห่งหนึ่งห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร ประมาณ 3 ปีแล้ว การที่จำเลยรับหนังสือและไปรษณีย์ตอบรับ (ฉบับที่ยื่นในชั้นไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560) เนื่องจากเผอิญไปเยี่ยมมารดา เหตุที่ทราบเรื่องโจทก์ฟ้องเนื่องจากหลานนำไปให้ซึ่งโจทก์ก็ไม่นำสืบพยานว่าจำเลยไม่ได้อยู่ที่บ้านใหม่ตามที่อ้าง คำเบิกความจำเลยมีน้ำหนักให้รับฟัง นอกจากนี้เมื่อจำเลยทราบวันนัดสืบพยานโจทก์และนัดไกล่เกลี่ยในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2560 จำเลยและทนายจำเลยก็มาศาล เมื่อฟังประกอบคำฟ้องของโจทก์และสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายท้ายฟ้องแล้วปรากฏว่า ที่ดินที่ตกลงซื้อขายเป็นที่ดินแจ้งเสียภาษีบำรุงท้องที่โดยจำเลยเป็นผู้แจ้งระบุว่าจำเลยเป็นเจ้าของ โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2551 โจทก์ได้ใช้ที่ดินตามที่ตกลงซื้อมาตลอดจนกระทั่งปี 2557 มีบุคคลอื่นมาโต้แย้ง โจทก์กลับยอมตามที่โต้แย้งและโจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2559 ห่างจากวันที่ทำสัญญาซื้อขาย 8 ปี 1 เดือนเศษ กรณีมีเหตุสมควรที่จะให้จำเลยยื่นคำให้การและให้รับคำให้การจำเลยดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยโดยให้เหตุผลอย่างละเอียดชัดแจ้ง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยไม่จำต้องวินิจฉัยซ้ำอีก ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้เป็นคดีปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์จำนวน 6,600 บาท จึงเกินมา 6,400 บาท เห็นควรคืนให้แก่โจทก์
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่โจทก์ 6,400 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share