คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5226/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ณ วันที่ 20 มีนาคม 2552 จำเลยมีหนี้ค้างชำระการใช้บัตรเครดิตแก่โจทก์จำนวน 200,042.17 บาท ซึ่งจะต้องชำระภายในวันที่ 9 เมษายน 2552 โจทก์ได้ทวงถามแล้วแต่จำเลยไม่ชำระ จำเลยจึงต้องชำระให้แก่โจทก์เป็นเงิน 200,042.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 184,386.18 บาท นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2552 เป็นเงิน 6,592.44 บาท รวมเป็นเงินที่ต้องชำระทั้งสิ้น 206,634.61 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 6,592.44 บาท ซึ่งคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายว่า จำเลยค้างชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสิ้น 206,634.61 บาท และโจทก์ระบุเป็นทุนทรัพย์ในการฟ้องคดีนี้ อันเป็นการบรรยายหนี้ที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ตามที่ปรากฏในคำฟ้องแล้ว แสดงว่าโจทก์ประสงค์ที่จะได้รับชำระหนี้ตามจำนวนที่โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ดังกล่าว หาใช่ต้องการให้จำเลยชำระหนี้เพียง 6,592.44 บาท ไม่ น่าเชื่อว่าตามคำขอบังคับของโจทก์ เกิดจากความพลั้งเผลอพิมพ์ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากเจตนาที่แท้จริง เป็นเหตุให้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 6,592.44 บาท ผิดพลาดไปด้วย กรณีถือได้ว่าคำพิพากษามีข้อผิดพลาดเล็กน้อย โจทก์จึงชอบที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นให้ถูกต้องได้ จึงมีเหตุสมควรแก้ไขจำนวนเงินในคำพิพากษาจาก 6,592.44 บาท เป็น 206,634.61 บาท ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 143 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 6,592.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 184,386.18 บาท นับถัดจากวันที่ 15 มิถุนายน 2552 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 6,592.44 บาท (ตามคำขอของโจทก์) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 184,386.18 บาท นับแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2552 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คืนค่าขึ้นศาลจำนวน 769 บาท แก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภค อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ มีข้อตกลงให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมอื่นและเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยได้ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์ จำเลยนำบัตรเครดิตดังกล่าวไปใช้ชำระค่าสินค้า ค่าบริการ และเบิกถอนเงินสดแล้วไม่ชำระเงินแก่โจทก์ ยอดหนี้คำนวณถึงวันที่ 20 มีนาคม 2552 เป็นหนี้ต้นเงิน 184,386.18 บาท ดอกเบี้ย 11,461.13 บาท ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ 4,194.86 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 184,386.18 บาท นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2552 จำนวน 6,592.44 บาท รวมเป็นหนี้ทั้งสิ้น 206,634.61 บาท
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีผู้บริโภคที่พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 6,592.44 บาท เป็น 206,634.61 บาท ได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า ณ วันที่ 20 มีนาคม 2552 จำเลยมีหนี้ค้างชำระจำนวน 200,042.17 บาท ซึ่งต้องชำระให้โจทก์ภายในวันที่ 9 เมษายน 2552 แต่จำเลยหาได้ชำระไม่ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้หนี้จำนวน 200,042.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 184,386.18 บาท นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2552 เป็นเงิน 6,592.44 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระทั้งสิ้น 206,634.61 บาท ซึ่งโจทก์ถือเป็นทุนทรัพย์ฟ้องคดีนี้ โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ดังนี้ คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้อย่างชัดแจ้งว่า จำเลยมีหนี้ค้างชำระจำนวน 200,042.17 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 184,386.18 บาท นับแต่วันที่ 21 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2552 เป็นเงิน 6,592.44 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องชำระทั้งสิ้น 206,634.61 บาท โจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่าได้ทวงถามจำเลยแล้ว และโจทก์ถือเป็นทุนทรัพย์ฟ้องคดีนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่าประสงค์จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าว หาใช่ต้องการให้จำเลยชำระเพียง 6,592.44 บาท ตามที่ระบุในคำขอท้ายฟ้องไม่ เหตุที่คำขอท้ายคำฟ้องระบุจำนวนเงิน 6,592.44 บาท จึงน่าเชื่อว่าเกิดจากความพลั้งเผลอพิมพ์ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากเจตนาที่แท้จริง เป็นเหตุให้ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 6,592.44 บาท ผิดพลาดตามไปด้วย อันถือเป็นกรณีคำพิพากษามีข้อผิดพลาดเล็กน้อย โจทก์จึงชอบที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นให้ถูกต้องได้ กรณีมีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีผู้บริโภค โดยแก้ไขจำนวนเงินในคำพิพากษาจาก 6,592.44 บาท เป็น 206,634.61 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภค ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 206,634.61 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share