คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6737/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานหรือไม่ และหากยอมรับหรือบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ การที่ ช. มาให้ถ้อยคำในชั้นพิจารณาของอนุญาโตตุลาการว่าไม่ได้เป็นฝ่ายประมาทแต่ในคืนเกิดเหตุพนักงานสอบสวนขอร้องให้รับสารภาพเพื่อช่วยเหลือทายาทของผู้ตายให้เบิกเงินจากบริษัทประกันภัยได้นั้น อนุญาโตตุลาการไม่เชื่อว่าพนักงานสอบสวนจะพูดขอร้อง ช. ต่อหน้าตัวแทนของบริษัทประกันภัย อีกทั้งการที่ตัวแทนบริษัทประกันภัยลงลายมือชื่อในบันทึกดังกล่าวเท่ากับยอมรับว่าบันทึกฉบับดังกล่าวเป็นเอกสารที่ถูกต้อง จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า ช. จอดรถบนไหล่ทางในที่มืดมีแสงสว่างไม่เพียงพอจึงเป็นฝ่ายประมาท ส่วนประจักษ์พยานที่ไปให้ถ้อยคำในชั้นพิจารณาของอนุญาโตตุลาการว่าที่เกิดเหตุมีแสงสว่างเพียงพอมองเห็นได้ในระยะ 150 เมตร นั้น มีน้ำหนักน้อยกว่าไม่อาจหักล้างการยอมรับของ ช. ได้ การที่อนุญาโตตุลาการได้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดของทั้งสองฝ่าย แล้วนำมาชั่งน้ำหนักว่าพยานหลักฐานฝ่ายใดดีกว่ากัน และชี้ขาดว่า ช. เป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียว ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ทายาทผู้ตาย คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการย่อมไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดจึงไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ระหว่างพิจารณานางสาวมลเทียน ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นคำคัดค้าน ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาต
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2558 เวลาประมาณ 1 นาฬิกา ขณะที่นายชัยรัตน์ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน บท 5222 บุรีรัมย์ ซึ่งเอาประกันภัยไว้กับผู้ร้องทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ ไปจอดอยู่บนไหล่ทางถนนสาย 304 ด้านมาจากจังหวัดนครราชสีมาไปทางจังหวัดฉะเชิงเทรา ในท้องที่หมู่ที่ 4 ตำบลเมืองเก่า อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี นายบุญเกิดขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน 1 กค ปราจีนบุรี 8637 มาในทิศทางเดียวกันและได้ชนท้ายรถยนต์คันดังกล่าว เป็นเหตุให้นายบุญเกิดได้รับบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา นางสาวมลเทียน มารดาของนายบุญเกิดเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย โดยขอให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นางสาวมลเทียนในกรณีที่นายบุญเกิดเสียชีวิตอันเกิดจากการกระทำละเมิดของนายชัยรัตน์ อนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้ผู้ร้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่นางสาวมลเทียนเป็นเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2558 จนถึงวันชำระเสร็จ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานหรือไม่ เห็นว่า อนุญาโตตุลาการได้พิเคราะห์สำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีที่ร้อยตำรวจโทเสน่ห์ พนักงานสอบสวน บันทึกไว้ว่าอุบัติเหตุดังกล่าวเกิดจากความประมาทของนายชัยรัตน์ที่จอดรถบริเวณไหล่ทางด้านซ้ายในที่มืดมีแสงสว่างไม่เพียงพอและไม่ได้ให้สัญญาณแก่รถที่ขับมาทางด้านหลังว่ามีรถจอดอยู่ เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ของผู้ตายที่ขับมาทางด้านหลังชนท้ายรถยนต์คันดังกล่าวอย่างแรง จนเป็นเหตุให้นายบุญเกิดถึงแก่ความตายและรถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย เบื้องต้นนายชัยรัตน์ยอมรับว่าเป็นฝ่ายประมาท ต่อมาได้ทำบันทึกช่วยเหลือค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิตโดยมีนายอภิชัย ตัวแทนบริษัทประกันภัยเข้าร่วมในการเจรจาและลงลายมือชื่อในบันทึกดังกล่าวด้วย การที่นายชัยรัตน์มาให้ถ้อยคำในชั้นพิจารณาของอนุญาโตตุลาการว่า ไม่ได้เป็นฝ่ายประมาทแต่ในคืนเกิดเหตุพนักงานสอบสวนขอร้องให้รับสารภาพเพื่อช่วยเหลือทายาทของผู้ตายให้เบิกเงินจากบริษัทประกันภัยได้นั้น อนุญาโตตุลาการไม่เชื่อว่าพนักงานสอบสวนจะพูดขอร้องนายชัยรัตน์ต่อหน้าตัวแทนของบริษัทประกันภัย อีกทั้งการที่ตัวแทนบริษัทประกันภัยลงลายมือชื่อในบันทึกดังกล่าวเท่ากับยอมรับว่าบันทึกฉบับดังกล่าวเป็นเอกสารที่ถูกต้อง จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่านายชัยรัตน์เป็นฝ่ายประมาท ส่วนประจักษ์พยานที่ไปให้ถ้อยคำในชั้นพิจารณาของอนุญาโตตุลาการมีน้ำหนักน้อยกว่าไม่อาจหักล้างการยอมรับของนายชัยรัตน์ได้ การที่อนุญาโตตุลาการได้พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดของทั้งสองฝ่าย แล้วนำมาชั่งน้ำหนักว่าพยานหลักฐานฝ่ายใดดีกว่ากัน และชี้ขาดว่านายชัยรัตน์เป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียว ให้ผู้ร้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ทายาทผู้ตาย คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการย่อมไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดจึงไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

Share