แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ป.พ.พ. บรรพ 2 หมวด 5 ความระงับแห่งหนี้ ส่วนที่ 1 ถึงส่วนที่ 5 บัญญัติให้หนี้เป็นอันระงับไปต่อเมื่อได้มีการชำระหนี้ มีการปลดหนี้ มีการหักกลบลบหนี้ มีการแปลงหนี้ใหม่หรือหนี้เกลื่อนกลืนกัน การที่โจทก์ยอมรับชำระหนี้เพียงบางส่วนจาก บ. ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน ย่อมเป็นประโยชน์แก่โจทก์เฉพาะเท่าที่ปลดหนี้ให้ บ. เท่านั้น เมื่อการชำระหนี้นั้นยังไม่ครบจำนวน ทั้งไม่ปรากฏเหตุอื่นที่อาจทำให้หนี้ดังกล่าวทั้งหมดระงับสิ้นไป แต่ยังมีหนี้ที่โจทก์เรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระอีก การที่โจทก์ยอมรับชำระหนี้บางส่วนจาก บ. เป็นเพียงโจทก์ยอมรับชำระหนี้บางส่วนจากผู้ค้ำประกัน เมื่อยังมีหนี้ส่วนที่เหลือ จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้จนครบจำนวน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 685 จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดไปกับ บ. ด้วย สำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ค้ำประกันเช่นเดียวกับ บ. เมื่อได้ความว่า ทั้งจำเลยที่ 2 และ บ. ต่างทำสัญญาค้ำประกันหนี้รายเดียวกันย่อมต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 682 วรรคสอง เมื่อบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันมิได้กำหนดความรับผิดของผู้ค้ำประกันที่มิได้ค้ำประกันร่วมกัน แต่ต้องรับผิดร่วมกันดังกล่าวไว้จึงต้องใช้หลักทั่วไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 229, 293 และ 296 แม้โจทก์จะยอมรับการชำระหนี้และปลดหนี้ให้ บ. คงเป็นประโยชน์แก่โจทก์เพียงเท่าส่วนของ บ. ชำระให้โจทก์และที่ปลดไป ซึ่งทำให้โจทก์ไม่อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 2 ในส่วนที่ปลดไปได้เท่านั้น หาทำให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ส่วนที่เหลือไม่ เมื่อได้ความว่า บ. ชำระหนี้ให้โจทก์ไปเพียง 4,050,000 บาท ยังไม่ครบตามภาระหนี้ที่จำเลยทั้งสองมีต่อโจทก์ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ตามจำนวนยอดหนี้ที่ค้างชำระในต้นเงิน ดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 4,219,361.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 4,054,843.11 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 169,361.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินที่เหลือ 4,843.11 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 26 ตุลาคม 2555) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เท่ากับส่วนที่โจทก์ชนะคดี (ที่ถูก เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี) โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แผนกคดีผู้บริโภค พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 4,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติในชั้นฎีกาโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคัดค้านว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราในแบบยื่นคำขอบริการสินเชื่อเพื่อธุรกิจ/บัตรเครดิตกับโจทก์แบบไม่มีหลักประกัน โดยคำขอดังกล่าวลงวันที่ 23 มิถุนายน 2554 ซึ่งเป็นโครงการค้ำประกันสินเชื่อกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ต่อมาโจทก์ได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อให้แก่จำเลยที่ 1 ตามคำขอ และโจทก์โอนเงินเข้าบัญชีจำเลยที่ 1 แล้ว ต่อมาโจทก์ขอให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมออกหนังสือค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ตกลงค้ำประกันสินเชื่อส่วนที่ขาดหลักประกันในวงเงินไม่เกิน 5,000,000 บาท และเพื่อเป็นการประกันหนี้กู้ยืมดังกล่าว จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันให้แก่โจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ภายหลังทำสัญญาจำเลยที่ 1 ค้างชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง 4,219,361.21 บาท วันที่ 23 มกราคม 2556 บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมชำระหนี้แก่โจทก์ 4,050,000 บาท จำเลยที่ 1 ยังคงค้างชำระต้นเงิน 4,843.11 บาท ดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ 164,518.10 บาท รวมเป็นเงิน 169,361.21 บาท
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกาเพียงว่า การที่โจทก์ยอมรับชำระหนี้จากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน ถือว่าโจทก์ปลดหนี้ให้กับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้น และจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วยหรือไม่ เห็นว่า ในส่วนของจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 หมวด 5 ความระงับแห่งหนี้ ส่วนที่ 1 ถึงส่วนที่ 5 บัญญัติให้หนี้เป็นอันระงับไปต่อเมื่อได้มีการชำระหนี้ มีการปลดหนี้ มีการหักกลบลบหนี้ มีการแปลงหนี้ใหม่ หรือหนี้นั้น ๆ เกลื่อนกลืนกัน การที่โจทก์ยอมรับชำระหนี้เพียงบางส่วนจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน ย่อมเป็นประโยชน์แก่โจทก์เฉพาะเท่าที่ปลดหนี้ให้เท่านั้น เมื่อการชำระหนี้นั้นยังไม่ครบจำนวน ทั้งไม่ปรากฏเหตุอื่นที่อาจทำให้หนี้ดังกล่าวทั้งหมดระงับสิ้นไป แต่ยังมีหนี้ที่โจทก์เรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระอีก การที่โจทก์ยอมรับชำระหนี้บางส่วนจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เป็นเพียงโจทก์ยอมรับชำระหนี้บางส่วนจากผู้ค้ำประกัน เมื่อยังมีหนี้ส่วนที่เหลือ จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นคงต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้อีกจนครบจำนวน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 685 เช่นนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ฐานะลูกหนี้ชั้นต้นจึงไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดไปกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมไปด้วย สำหรับจำเลยที่ 2 ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ค้ำประกันเช่นเดียวกับบรรษัทประกันสินเชื่อ อุตสาหกรรมขนาดย่อม เมื่อได้ความว่า ทั้งจำเลยที่ 2 และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมต่างได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้สินเชื่อดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ อันถือเป็นผู้ค้ำประกันร่วมในหนี้รายเดียวกันย่อมต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 682 วรรคสอง และเมื่อบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันมิได้กำหนดความรับผิดของผู้ค้ำประกันที่มิได้ค้ำประกันร่วมกัน แต่ต้องรับผิดร่วมกันดังกล่าวไว้จึงต้องใช้หลักทั่วไป ตามมาตรา 229 มาตรา 293 และมาตรา 296 ด้วยเหตุนี้ แม้โจทก์จะยอมรับการชำระหนี้และปลดหนี้ให้กับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม คงเป็นประโยชน์แก่โจทก์เพียงเท่าส่วนของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมชำระให้โจทก์และที่โจทก์ปลดไป ซึ่งไม่อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยที่ 2 ในส่วนที่ปลดไปได้เท่านั้น หาทำให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ส่วนที่เหลือไม่ เมื่อได้ความว่า บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมชำระหนี้ให้โจทก์ไปเพียง 4,050,000 บาท ยังไม่ครบตามภาระหนี้ที่จำเลยทั้งสองมีต่อโจทก์ ดังนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามจำนวนยอดหนี้ที่ค้างชำระในต้นเงินและดอกเบี้ยและเบี้ยปรับมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.