คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8789/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ขับรถชนรถคันอื่นจนทำให้เกิดความเสียหายแก่รถอื่นถึง 3 คัน ย่อมเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะเมาสุรา เมื่อตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ท้ายตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ข้อ 7 ระบุว่า การประกันภัยไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก 7.6 การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่ มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดไม่น้อยกว่า 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ข้อ 8 วรรคสอง ระบุว่าเงื่อนไขตาม 7.6 บริษัทจะไม่นำมาเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิด เมื่อโจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกไปแล้วตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 8 วรรคสาม โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาคืนจากผู้เอาประกันภัยได้
ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย ผู้เอาประกันภัยที่จะถูกเรียกค่าสินไหมทดแทนคืนจากบริษัทผู้รับประกันภัยนั้น หมายถึง ผู้เอาประกันภัยที่เป็นผู้ทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก แต่ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยมิใช่เป็นผู้ทำละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืนค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นต่อสู้ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๖๖,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๖๔,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินจำนวน ๖๔,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๔๗ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๒ ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทสัมพันธ์ประกันภัย จำกัด โจทก์ ยื่นคำร้องขอเข้าว่าคดีแทน พิเคราะห์แล้วอนุญาตให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทสัมพันธ์ประกันภัย จำกัด ผู้ร้อง เข้าดำเนินคดีแทนโจทก์ในชั้นฎีกาตามคำร้อง
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ปน ๕๗๗๑ กรุงเทพมหานคร จากจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๖ ถึงวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ จำเลยที่๑ ขับรถที่โจทก์รับประกันภัยโดยได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ ๒ ชนท้ายรถยนต์หมายเลขทะเบียน ๖ ค – ๒๙๙๘ กรุงเทพมหานคร เป็นเหตุให้รถคันดังกล่าวพุ่งชนรถแท็กซี่ หมายเลขทะเบียน มค ๖๔๓๖ กรุงเทพมหานคร และรถตู้หมายเลขทะเบียน อย ๑๓๘ กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ด้านหน้า ทำให้รถที่ถูกชนได้รับความเสียหาย พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยที่ ๑ ว่า ขับรถในขณะเมาสุรา โจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกไป ๖๔,๐๐๐ บาท คดีในส่วนของจำเลยที่ ๑ ยุติไปแล้วตาม คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาตามฎีกาของจำเลยที่ ๒ ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ ๒ ได้หรือไม่ โดยจำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า โจทก์พิสูจน์ไม่ได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากการที่จำเลยที่ ๑ เมาสุรา โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ ๒ ได้นั้น ในข้อนี้โจทก์มีนายวิริทธิพล เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถที่โจทก์รับประกันภัยด้วยความเร็วสูงในขณะที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดถึง ๑๘๘ มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ และจากสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี ระบุว่าพนักงานสอบสวนสังเกตว่าจำเลยที่ ๑ มีอาการคล้ายเมาสุราจึงทำการทดสอบพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงแจ้งข้อหาว่าเป็นผู้ขับขี่รถในขณะเมาสุรา ส่วนจำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและในวันสืบพยานก็มิได้มาถามค้านเพื่อให้ฟังเป็นอย่างอื่น ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีมูลฟังได้ว่า การที่จำเลยที่ ๑ ขับรถชนรถคันอื่นจนทำให้เกิดความเสียหายแก่รถอื่นถึง ๓ คัน ย่อมเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ ๑ ซึ่งขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะเมาสุรา เมื่อตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ท้ายตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ข้อ ๗ ระบุว่า การประกันภัยไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจาก ๗.๖ การขับขี่โดยบุคคลซึ่งในขณะขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดไม่น้อยกว่า ๑๕๐ มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ข้อ ๘ วรรคสอง ระบุว่าเงื่อนไขตาม ๗.๖ บริษัทจะไม่นำมาเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกเพื่อปฏิเสธความรับผิด เมื่อโจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกไปแล้วตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยข้อ ๘ วรรคสาม กำหนดไว้ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาคืนจากผู้เอาประกันภัยได้ พิเคราะห์เงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยข้อดังกล่าวแล้ว เห็นว่า ผู้เอาประกันภัยที่จะถูกเรียกค่าสินไหมทดแทนคืนจากบริษัทผู้รับประกันภัยนั้น หมายถึง ผู้เอาประกันภัยที่เป็นผู้ทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก แต่ขณะเกิดเหตุคดีนี้จำเลยที่ ๒ ผู้เอาประกันภัยมิใช่เป็นผู้ทำละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกคืนค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ ๒ ตามเงื่อนไขข้อดังกล่าว แม้จำเลยที่ ๒ มิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นต่อสู้ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๒)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ เสียด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ทั้งสามศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share