แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องของโจทก์บรรยายพอเข้าใจได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยรถแท็กซี่คันที่จำเลยที่ 1 ขับโดยประมาทมาชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ชัดแจ้ง ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ให้การยอมรับว่าเป็นผู้รับประกันภัยรถแท็กซี่คันดังกล่าว แต่ปฏิเสธความรับผิดโดยกล่าวอ้างว่าคนขับรถของโจทก์เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทโดยการเปลี่ยนช่องเดินรถเข้ามาในช่องเดินรถที่จำเลยที่ 1 ขับทำให้เกิดเฉี่ยวชนกัน การที่จำเลยที่ 2 ให้การเช่นนี้ถือว่าจำเลยที่ 2 สามารถเข้าใจคำฟ้องของโจทก์ได้ดี จึงสามารถให้การต่อสู้คดีได้ คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 270,871 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน สฉ 9519 กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 ขับรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน ทว 257 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยด้วยความประมาท เฉี่ยวชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ซึ่งขณะเกิดเหตุมีนายอานนท์ เป็นผู้ขับและโจทก์นั่งโดยสารมาเป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายและโจทก์ได้รับบาดเจ็บ คดีสำหรับจำเลยที่ 1 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า ฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์บรรยายคำฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยรถแท็กซี่หมายเลขทะเบียน ทว 257 กรุงเทพมหานคร ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถแท็กซี่ด้วยความเร็วสูงและความประมาทชนท้ายรถยนต์ของโจทก์และรถยนต์ของโจทก์แล่นไถลไปกระแทกกับรถกระบะหมายเลขทะเบียน วล 7025 กรุงเทพมหานคร ซึ่งประสบอุบัติเหตุอยู่ด้านหน้า ทำให้รถยนต์ของโจทก์เสียหายทางด้านท้ายและด้านหน้าและโจทก์ได้รับบาดเจ็บ โดยโจทก์ขอคิดค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 300,000 บาท จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยประเภท 3 คุ้มครองรถแท็กซี่มีหน้าที่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในการใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ก่อนฟ้องโจทก์ได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยจังหวัดนนทบุรี จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นผู้รับประกันภัยจริง แต่ไม่ยอมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยอ้างว่าผู้ขับรถยนต์ของโจทก์เป็นฝ่ายประมาท เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์บรรยายพอเข้าใจได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยรถแท็กซี่คันที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับโดยประมาทมาชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายจึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ชัดแจ้ง ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ให้การยอมรับว่าเป็นผู้รับประกันภัยรถแท็กซี่ แต่ปฏิเสธความรับผิดโดยกล่าวอ้างว่าคนขับรถของโจทก์เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาท โดยการเปลี่ยนช่องเดินรถเข้ามาในช่องเดินรถที่จำเลยที่ 1 ขับทำให้เกิดเฉี่ยวชนกัน การที่จำเลยที่ 2 ให้การเช่นนี้ถือว่าจำเลยที่ 2 สามารถเข้าใจคำฟ้องของโจทก์ได้ดีจึงสามารถให้การต่อสู้คดีได้ คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 จึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ