คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7977/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกันตาม ป.วิ.พ. มาตรา 146 นั้น จะต้องเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นในเนื้อหาแห่งคดีแล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์คงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะเห็นว่าโจทก์ต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 5745/2546 ของศาลชั้นต้นว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โดยยังมิได้วินิจฉัยประเด็นในเนื้อหาแห่งคดีว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่ แม้ต่อมาศาลฎีกาในคดีหมายเลขแดงที่ 5745/2546 ของศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าทางพิพาทไม่เป็นทางสาธารณะ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ในคดีนี้ยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นในเนื้อหาแห่งคดี จึงถือไม่ได้ว่าคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวขัดกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีนี้ ผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งถึงที่สุดในคดีนี้จึงมีว่า ตราบใดที่โจทก์ยังต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 5745/2546 ของศาลชั้นต้นอยู่ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ โจทก์จะกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นเพื่อนำมาเป็นเหตุฟ้องจำเลยทั้งสองไม่ได้เท่านั้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ถูกนางทองห่อ กับพวกฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ 5060/2543 หมายเลขแดงที่ 5745/2546 ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) ให้โจทก์รื้อถอนสิ่งกีดขวางและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดิน คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยทั้งสองที่ให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งของออกจากถนนที่พิพาท และมีคำสั่งให้ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ไม่ใช่ทางสาธารณะกับให้รื้อถอนป้ายบอกทางลัดของจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่า คำพิพากษาในคดีดังกล่าวผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง จึงต้องฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด ต่อมาคดีหมายเลขดำที่ 5060/2543 หมายเลขแดงที่ 5745/2546 ของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ศาลฎีกาพิพากษากลับ โดยวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะ
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลถือเอาคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 5060/2543 หมายเลขแดงที่ 5745/2546 ของศาลชั้นต้น ซึ่งถึงที่สุดแล้วในชั้นฎีกาเป็นผลคำพิพากษาคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง และมาตรา 146
จำเลยทั้งสองยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำพิพากษาหรือคำสั่งขัดกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 นั้น จะต้องเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นในเนื้อหาแห่งคดีแล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์คงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะเห็นว่าโจทก์ต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 5745/2546 ของศาลชั้นต้นว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โดยยังมิได้วินิจฉัยประเด็นในเนื้อหาแห่งคดีว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่ แม้ต่อมาศาลฎีกาในคดีหมายเลขแดงที่ 5745/2546 ของศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยว่าทางพิพาทไม่เป็นทางสาธารณะ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ในคดีนี้ยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นในเนื้อหาแห่งคดี จึงถือไม่ได้ว่าคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีดังกล่าวขัดกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีนี้ ผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งถึงที่สุดในคดีนี้จึงมีว่า ตราบใดที่โจทก์ยังต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 5745/2546 ของศาลชั้นต้นอยู่ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ โจทก์จะกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นเพื่อนำมาเป็นเหตุฟ้องจำเลยทั้งสองไม่ได้เท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของโจทก์มานั้น ศาลฎีกาคงเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องโดยมิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share