คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2742/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินของ ป. ผู้ขอประกันจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าที่ดินมีสภาพและที่ตั้งไม่ตรงตามรายงานการยึดทรัพย์ แผนที่ตั้งที่ดินโดยสังเขปและประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยปกติศาลชั้นต้นต้องรับคำร้องพร้อมส่งสำเนาคำร้องให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 2 ด้วย ในฐานะเป็นบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในวิธีการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 280 (1) ว่าจะคัดค้านหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งนัดไต่สวน ส่งสำเนาให้ผู้ประกันและเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยไม่ส่งสำเนาคำร้องให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 2 ด้วย ทั้งคำร้องของผู้ร้องมิใช่เป็นคำขอที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติไว้ว่าจะทำได้แต่ฝ่ายเดียวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 21 (2) ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนกระทั่งมีคำสั่ง และศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ชอบ แม้คู่ความมิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าว แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2557 เจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดนครปฐม ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 15290 ตำบลพะเนียด อำเภอนครชัยศรี (เมือง) จังหวัดนครปฐม (นครชัยศรี) ของนายประกิต ผู้ขอประกันจำเลยที่ 2 แก่นางมันฟ้า ผู้ร้อง ในราคา 1,100,000 บาท โดยผู้ร้องวางเงินมัดจำไว้จำนวน 250,000 บาท ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า หลังจากผู้ร้องประมูลซื้อที่ดินได้แล้ว ผู้ร้องไปดูสภาพทรัพย์ ปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวถูกล้อมรอบด้วยที่ดินแปลงอื่น เป็นที่ดินตาบอด ต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นเข้าไป ไม่ตรงกับแผนที่ในประกาศขายที่ระบุว่าติดถนนมีทางเข้าออก และสภาพที่ดินก็เป็นบ่อกุ้ง ไม่ใช่ที่นาตามประกาศขายแต่อย่างใด ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าวและคืนเงินมัดจำแก่ผู้ร้อง
ผู้ขอประกันจำเลยที่ 2 และเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าศาลล่างทั้งสองดำเนินกระบวนพิจารณาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 15290 ตำบลพะเนียด อำเภอนครชัยศรี (เมือง) จังหวัดนครปฐม (นครชัยศรี) ของนายประกิต ผู้ขอประกันจำเลยที่ 2 โดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินพิพาทได้ในราคา 1,100,000 บาท โดยวางเงินมัดจำไว้ 250,000 บาท แต่ปรากฏว่าที่ดินพิพาทมีสภาพที่ดินและที่ตั้งไม่ตรงตามรายงานการยึดทรัพย์ แผนที่ตั้งที่ดินโดยสังเขป และประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยปกติศาลชั้นต้นต้องรับคำร้องพร้อมส่งสำเนาคำร้องให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ด้วยในฐานะบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280 (1) ว่าจะคัดค้านหรือไม่ หากมีคำคัดค้านศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวน โดยเปิดโอกาสให้คู่กรณีนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างและข้อคัดค้านของตนแล้วจึงจะวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นพิพาท การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “นัดไต่สวน สำเนาให้ผู้ประกันและเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ผู้ร้องนำส่งภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ หากส่งไม่ได้ให้แถลงศาลทราบภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ หากไม่ดำเนินการถือว่าผู้ร้องทิ้งคำร้อง” โดยไม่ส่งสำเนาคำร้องให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 2 ด้วย ทั้งคำร้องของผู้ร้องมิใช่เป็นคำขอที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติไว้ว่าจะทำได้แต่ฝ่ายเดียวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 (2) ดังนี้ การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนกระทั่งมีคำสั่ง และศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจึงเป็นการไม่ชอบ แม้คู่ความมิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าว แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้อง
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่การส่งสำเนาคำร้องให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 และมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้รวมไว้สั่งเมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่

Share