แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๓๐/๒๕๔๖
วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
ศาลจังหวัดนนทบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนนทบุรีส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีศาลที่ส่งความเห็นและรับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
กรมราชทัณฑ์ โจทก์ ยื่นฟ้องนางระเบียบ คณิตพันธ์ ที่ ๑ นายจำลอง ดอกลำเจียก ที่ ๒ นายมานิตย์ มณีนิตย์ ที่ ๓ เป็นจำเลย ต่อศาลจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๔๕ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ส. ๖๕๙/๒๕๔๕ ว่า ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๕ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๒๘ จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดเรือนจำกลางบางขวาง ซึ่งมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการและรักษาทรัพย์สินซึ่งเป็นของทางราชการเรือนจำกลางบางขวาง ได้บังอาจร่วมกันกับนายสวัสดิ์ สรรเสริญ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง ในขณะนั้น และเจ้าพนักงานเรือนจำกลางบางขวาง ๗ คน เบียดบังยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลไปเป็นของตนเองกับพวกโดยทุจริต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๑,๓๔๐,๕๙๐.๑๗ บาท โจทก์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและหาตัวผู้รับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่ง ได้ผลสรุปเป็นที่ยุติว่า นายสวัสดิ์ฯ ร่วมกับจำเลยทั้งสามกับพวกได้กระทำการดังกล่าวจริง จึงได้กำหนดความรับผิดชอบที่จะต้องชดใช้เงินคืนให้แก่ทางราชการตามความรับผิดเป็นรายบุคคล แต่จำเลยทั้งสามไม่ยอมชดใช้ โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชดใช้เงินจำนวน ๑,๑๒๓,๒๑๖.๕๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ ๒ รับผิดชดใช้เงินจำนวน ๑๕๖,๙๐๒.๘๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ ๓ รับผิดชดใช้เงินจำนวน ๘๘,๕๓๐.๙๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลจังหวัดนนทบุรีพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐยื่นฟ้องจำเลยให้ร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากกระทำการในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ ผู้กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะรับไว้วินิจฉัย ศาลจังหวัดนนทบุรีจึงส่งความเห็นไปยังสำนักงานศาลปกครอง เพื่อดำเนินการส่งให้ศาลในความรับผิดชอบทำความเห็นในเรื่องดังกล่าว
ศาลปกครองกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มูลเหตุแห่งคดีนี้สืบเนื่องมาจากการที่จำเลยทั้งสามปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไปในการดูแลรักษาทรัพย์สินของทางราชการ แล้วกระทำการโดยทุจริตเบียดบังทรัพย์สินของทางราชการไปเป็นของตนกับพวก ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันถือไม่ได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของจำเลยแต่ประการใด จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่นหรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรมที่จะพิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๒๗๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่จะต้องพิจารณา คือ การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่แล้วก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐ อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๗๖ ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) บัญญัติให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๔๗๙ ประกอบกับพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๓๓(๗) กำหนดให้โจทก์เป็นส่วนราชการระดับกรม สังกัดกระทรวงยุติธรรม จึงถือเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ข้อเท็จจริงตามฟ้องกล่าวอ้างว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายอบรมและฝึกอาชีพ จำเลยที่ ๒ ดำรงตำแหน่งผู้บังคับแดนสงวน และจำเลยที่ ๓ ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่พัสดุแดนสงวน ซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของโจทก์ มีอำนาจหน้าที่ในการซื้อ ทำ จัดการและรักษาทรัพย์สินซึ่งเป็นของทางราชการ ดังนั้น จำเลยทั้งสามจึงเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องปรากฏว่าจำเลยทั้งสามได้อาศัยโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ ร่วมกันกับนายสวัสดิ์ สรรเสริญ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวาง ในขณะนั้น และเจ้าพนักงานเรือนจำกลางบางขวางอีก ๗ คน เบียดบังยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลไปเป็นของตนเองกับพวกโดยทุจริต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยมิได้กระทำละเมิด คดีจึงมีประเด็นสำคัญเรื่องเจ้าหน้าที่กระทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือไม่ ดังนั้น ย่อมจะต้องถือว่ากรณีนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและเป็นคดีละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ ๑๔/๒๕๔๖
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีเกี่ยวกับการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการกระทำละเมิด ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐ ระหว่าง กรมราชทัณฑ์ โจทก์ นางระเบียบ คณิตพันธ์ ที่ ๑ นายจำลอง ดอกลำเจียก ที่ ๒ นายมานิตย์ มณีนิตย์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งในคดีนี้ได้แก่ ศาลปกครองกลาง
(ลงชื่อ) อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ (ลงชื่อ) เฉลิมชัย เกษมสันต์
(นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ) (หม่อมหลวงเฉลิมชัย เกษมสันต์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน ลาออก
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายโภคิน พลกุล)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท อัฎฐพร เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(อัฎฐพร เจริญพานิช) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ