คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2004/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้โดยรับผิดชำระจากทรัพย์มรดกของ ส. ระหว่างบังคับคดีศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยที่ 1 และ จ. มาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับทรัพย์สินของ ส. เจ้ามรดกได้ความว่า จ. เช่าร้านอาหารอันเป็นทรัพย์มรดกของ ส. จากจำเลยที่ 1 และได้ออกเช็คชำระค่าเช่าลงวันที่ล่วงหน้าไว้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้แจ้งอายัดเงินตามเช็คดังกล่าวแก่ จ. ก่อนที่เช็คนั้นจะถึงกำหนดใช้เงิน โดยให้นำเงินค่าเช่ามาส่งแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีแต่ จ. ไม่ปฏิบัติตามเมื่อเช็คถึงกำหนดใช้เงินผู้ทรงได้นำเช็คไปขึ้นเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเพราะมีคำสั่งอายัดต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือเตือนให้ จ. ส่งเงินค่าเช่าตามเช็คอีก จ.ตอบขัดข้องว่าเช็คที่สั่งจ่ายให้จำเลยที่ 1 นั้นได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วดังนี้ เห็นได้ว่า จ. ได้ชำระหนี้กองมรดกด้วยเช็คให้จำเลยที่ 1 ก่อนจะได้รับคำสั่งอายัดจากเจ้าพนักงานบังคับคดี และเช็คนั้นได้โอนไปยังผู้ทรงซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแล้ว ซึ่ง จ. จะต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คให้ผู้ทรงอยู่และหนี้ยังไม่ระงับสิ้นลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคท้าย ก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่ผู้ทรงเช็คจะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่ จ. เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่ จ. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 312 วรรค 2 ไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้ให้โจทก์โดยรับผิดชำระจากทรัพย์มรดกของนายสมศักดิ์เท่านั้น ระหว่างบังคับคดี ศาลชั้นต้นได้หมายเรียกจำเลยที่ ๑ และนางจุฑาทิพย์ มาให้ถ้อยคำเกี่ยวกับทรัพย์สินของนายสมศักดิ์ เจ้ามรดก ได้ความว่านางจุฑาทิพย์เช่าร้านขายอาหารอันเป็นทรัพย์มรดกของนายสมศักดิ์จากจำเลยที่ ๑ ค่าเช่าปีละ ๑๘๐,๐๐๐ บาท สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๒๕ นางจุฑาทิพย์ได้ออกเช็คชำระค่าเช่า ๒ ฉบับ ฉบับแรกสั่งจ่ายเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ฉบับที่ ๒ สั่งจ่ายเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ลงวันที่ล่วงหน้าห่างกัน ๒ เดือน เช็คฉบับแรกรับเงินไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนฉบับที่ ๒ ถึงกำหนดสั่งจ่ายวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๕ นั้น นายสุพจน์ผู้ทรงได้นำไปขึ้นเงินจากธนาคารผู้จ่ายเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๕ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดไว้ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งอายัดเงินดังกล่าวให้นางจุฑาทิพย์ทราบ และให้นำเงินค่าเช่าดังกล่าวมาส่งให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน ๑๐ วัน นางจุฑาทิพย์ได้รับหนังสืออายัดเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๕ แต่นางจุฑาทิพย์มิได้ปฏิบัติตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้มีหนังสือเตือนไปอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๒๕ นางจุฑาทิพย์จึงได้แถลงข้อขัดข้องว่าไม่อาจส่งเงินจำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท ตามที่อายัดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีได้เพราะเช็คที่ได้สั่งจ่ายให้จำเลยที่ ๑ นั้นได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงได้ขอให้ศาลชั้นต้นออหมายบังคับคดีแก่นางจุฑาทิพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๑๒
ศาลชั้นต้นสั่งว่าจะออกหมายบังคับคดีบังคับนางจุฑาทิพย์ให้ชำระหนี้ค่าเช่าประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๕ อีกไม่ได้
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า นางจุฑาทิพย์ อุดมพัฒน์ ได้ชำระหนี้ด้วยเช็คฉบับที่ ๒ จำนวนเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ให้นางสุขสม รัตนสันติ จำเลยไปตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๒๕ ก่อนที่นางจุฑาทิพย์จะได้รับแจ้งคำสั่งอายัดจากเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๒๕ แม้จะเป็นการชำระหนี้ด้วยเช็คลงวันที่ล่วงหน้าก็ตาม แต่เช็คเป็นตราสารเปลี่ยนมือได้ และนางสุขสม รัตนสันติ ก็ได้โอนเช็คดังกล่าวให้นายสุพจน์วิชญวิเชียร ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไปแล้ว เมื่อเช็คถึงกำหนด นายสุพจน์ก็ได้นำเช็คไปขึ้นเงินต่อธนาคารผู้จ่าย แต่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะเช็คดังกล่าวถูกเจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดไว้ซึ่งนางจุฑาทิพย์จะต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คให้นายสุพจน์อยู่ แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ วรรคท้าย จะบัญญัติว่า การชำระหนี้ด้วยสลักหลังตั๋วเงิน หนี้จะระงับสิ้นไปต่อเมื่อตั๋วเงินได้ใช้เงินแล้วก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่นายสุพจน์ผู้ทรงเช็คจะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่นางจุฑาทิพย์ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่นางจุฑาทิพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๑๒ วรรคสอง ไม่ได้
พิพากษายืน

Share