แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่นเมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงบรรยายมาว่า จำเลยคนใดทำให้โจทก์กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อเสรีภาพของโจทก์อย่างไรบ้างศาลย่อมสั่งยกฟ้องในข้อหาความผิดฐานนี้ได้
ฟ้องหาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำบุกรุกอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 83 เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่บรรยายว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ร่วมกระทำบุกรุกกับจำเลยที่ 1 หรือเป็น ผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ 1 อย่างไรศาลย่อมสั่งยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในข้อหานี้ไปเสียได้เช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามสมคบกันกระทำผิดกฎหมาย กล่าวคือจำเลยทั้งสามมีความประสงค์จะให้โจทก์และบริวารออกไปจากบ้านเลขที่๖๘๘/๒๑ ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี เพื่อเข้าครอบครองบ้านเสียเอง แต่จำเลยทั้งสามกระทำการโดยชอบด้วยกฎหมายไม่เป็นผลจำเลยทั้งสามจึงคบคิดกันใช้อุบายโดยมิชอบอาศัยเหตุในกฎหมายเป็นเครื่องมือ คือ จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ ๓ ได้แกล้งทำสัญญากู้ยืมเงิน๑๐๐,๐๐๐ บาทจากจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๑ ร่วมรู้เห็นเป็นพยานในสัญญากู้ซึ่งความจริงมิได้กู้ยืมเงินกันจริง เมื่อถึงกำหนดชำระเงิน จำเลยที่ ๑ ก็ฟ้องจำเลยที่ ๒ เป็นคดีแพ่ง ครั้นจำเลยได้กระทำการชั้นเตรียมการเสร็จแล้วเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๑๑ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑ กับทนายความของจำเลยที่ ๑ ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดชลบุรีไปทำการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๒ ที่บ้านเลขที่ ๖๘๘/๒๑ อันเป็นบ้านและเครื่องใช้ที่โจทก์เช่าจากจำเลยที่ ๒ เพื่อทำการค้าและครอบครองอยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์เสร็จแล้ว จำเลยที่ ๑ได้บังอาจกระทำความผิดตามแผนการที่ได้คบคิดกับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ไว้ก่อนแล้ว คือ ฉวยโอกาสเอาโซ่ล่ามประตูหน้าบ้านหลังบ้าน อันเป็นร้านขายอาหารของโจทก์ (บาร์สมานมิตร) แล้วใส่กุญแจ ทำให้โจทก์ทำการค้าไม่ได้ตามปกติ พร้อมกับนำกระดาษแผ่นใหญ่เขียนเป็นประกาศว่า “ปิดกิจการ” ปิดไว้ที่แผ่นกระจกหน้าร้าน ประชาชนมองเห็นได้ง่ายเป็นการแสดงออกว่าร้านขายอาหารของโจทก์ปิดดำเนินการค้าแล้วโดยเจตนาทุจริต และได้ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีลงลายมือชื่อไว้ในแผ่นกระดาษนั้นด้วย ปรากฏตามภาพถ่ายท้ายฟ้อง
การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการข่มขืนใจโจทก์ให้จำยอมต้องปิดการค้าของโจทก์จนบัดนี้ และเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุข ซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิจะกระทำเช่นนั้นได้ ทำให้โจทก์เสียหาย เหตุเกิดที่ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมืองจังหวัดชลบุรี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙, ๓๖๒, ๘๓
ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า ฟ้องโจทก์ฐานความผิดต่อเสรีภาพตามมาตรา ๓๐๙ ที่โจทก์บรรยายฟ้อง ไม่เห็นว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดอย่างใด จึงให้ยกฟ้องข้อหานี้ ส่วนข้อหาฐานบุกรุก ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้กระทำความผิดอย่างใด จึงให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ที่ ๓นัดไต่สวนมูลฟ้องจำเลยที่ ๑ ในข้อหานี้
โจทก์อุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์มีมูลความผิดอาญาทั้งสองข้อหาสำหรับจำเลยทุกคน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๙ บัญญัติว่า “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น ฯลฯ”การกระทำของจำเลยทั้งสามตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำให้โจทก์กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของโจทก์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่กฎหมายระบุไว้เลย การที่จำเลยแกล้งก่อหนี้เท็จฟ้องเท็จกัน แล้วจำเลยที่ ๑นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านและเครื่องใช้ของจำเลยที่ ๒ ซึ่งโจทก์เช่าจากจำเลยที่ ๒ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องปิดการค้าของโจทก์นั้น คำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยคนใดทำให้โจทก์กลัวว่า จะเกิดอันตรายต่อเสรีภาพของโจทก์อย่างไรบ้าง ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนข้อหาสำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฐานร่วมกันบุกรุกร่วมกับจำเลยที่ ๑ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๘๓ นั้น ถึงแม้ว่าผู้ให้เช่าอาจมีความผิดฐานบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผู้อื่นเช่าอยู่โดยชอบด้วยกฎหมายได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒ แต่คำฟ้องโจทก์ไม่บรรยายว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ได้ร่วมกระทำการบุกรุกกับจำเลยที่ ๑ หรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำของจำเลยที่ ๑ อย่างไรฟ้องจึงไม่มีมูลฐานบุกรุกสำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ด้วย
พิพากษายืน