คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5248/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ถนนที่จำเลยขับรถมาเป็นทางเดินรถทางโท มีสัญญาณจราจรไฟกระพริบสีแดงและป้ายเตือนให้หยุด ติดไว้ก่อนเข้าทางร่วมทางแยก จำเลยต้องหยุดรถก่อนถึงทางร่วมทางแยก หลังเส้นให้หยุดรถและให้ผู้ขับรถในทางเอกขับผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรแล้วจึงจะขับรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง ส่วนโจทก์ขับรถมาในทางเอกแม้จะมีสิทธิขับรถผ่านทางร่วมทางแยกไปก่อน แต่ก็ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 70 โดยต้องลดความเร็วของรถ เมื่อขับรถเข้าใกล้ทางร่วมทางแยก สภาพความเสียหายของรถโจทก์ได้รับความเสียหายอย่างมากอันเกิดจากการชนโดยแรง และตามแผนที่แสดงสถานที่เกิดเหตุ รถยนต์โจทก์อยู่ห่างจากจุดชนประมาณ 35 เมตร แสดงว่าโจทก์ขับรถมาด้วยความเร็วและไม่ได้ชะลอความเร็วของรถ เมื่อเข้าใกล้ทางร่วมทางแยก เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเหตุรถชนกันโจทก์จึงมีส่วนประมาทอยู่ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,046,132.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถวันละ 300 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่ารถจะใช้งานได้ตามปกติ และชำระค่าจ้างรถรับส่งภริยาโจทก์ไปกลับที่ทำงานเดือนละ 3,000 บาท นับแต่เดือนธันวาคม 2556 ไปจนกว่ารถจะใช้งานได้ตามปกติ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 419,276 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่14 พฤศจิกายน 2556) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ชำระเงินวันละ 300 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ไม่เกิน 90 วัน ให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 โจทก์ถึงแก่ความตาย นางพิมพ์อุมา ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 419,276 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 พฤศจิกายน 2556) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกคำขอค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะส่วนที่เป็นค่าขึ้นศาลให้ใช้เท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลรวม 15,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นฎีการับฟังยุติว่า เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2555 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา จำเลยขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน บพ 3456 ลำปาง ไปตามถนนด้านสระน้ำสาธารณะหลังปั้มน้ำมัน ปตท. แม่เมาะ ซึ่งเป็นทางเดินรถทางโท มุ่งหน้าไปยังสถานีตำรวจภูธรแม่เมาะผ่านทางร่วมทางแยกที่เกิดเหตุ โดยทางแยกด้านที่จำเลยขับรถมีป้ายเตือนให้หยุดและสัญญาณจราจรไฟกระพริบสีแดงติดตั้งไว้ก่อนถึงทางร่วมทางแยก ส่วนโจทก์ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ฆค 7706 กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนข้างที่ว่าการอำเภอแม่เมาะซึ่งเป็นทางเดินรถทางเอก มุ่งหน้าไปศาลหลักเมืองอำเภอแม่เมาะ เมื่อถึงทางร่วมทางแยกที่เกิดเหตุซึ่งถนนทั้งสองสายตัดผ่านกัน จำเลยขับรถด้วยความประมาทโดยไม่ชะลอความเร็วหรือหยุดรถให้รถที่โจทก์ขับแล่นผ่านทางร่วมทางแยกไปก่อน เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกันได้รับความเสียหาย และโจทก์ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายสาหัส ต่อมาพนักงานอัยการฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงลำปางในความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลแขวงลำปางพิพากษาลงโทษจำเลยตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1218/2556 โดยจำเลยวางเงินชดใช้ ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในคดีดังกล่าวเป็นเงิน 120,000 บาท
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีส่วนขับรถโดยประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่ เห็นว่า ถนนทางแยกด้านที่จำเลยขับรถมาเป็นทางเดินรถทางโท มีสัญญาณจราจรไฟกระพริบสีแดงและป้ายเตือนให้หยุดติดตั้งไว้ก่อนเข้าทางร่วมทางแยก จำเลยต้องหยุดรถก่อนถึงทางร่วมทางแยกหลังเส้นให้หยุดรถและให้ผู้ขับรถในทางเอกขับผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรแล้วจึงจะขับรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง แต่จำเลยขับรถฝ่าฝืนสัญญาณจราจรดังกล่าวโดยไม่หยุดรถและให้รถในทางเอกขับผ่านไปก่อน ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของนางลำไพ พยานโจทก์ว่า จำเลยขับรถมาด้วยความเร็ว เป็นเหตุให้รถชนกัน ส่วนโจทก์ขับรถมาในทางเอกแม้จะมีสิทธิขับรถผ่านทางร่วมทางแยกไปก่อน แต่ก็ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 70 โดยต้องลดความเร็วของรถเมื่อขับรถเข้าใกล้ทางร่วมทางแยก เมื่อพิจารณาถึงสภาพความเสียหายของรถยนต์ที่โจทก์ขับ ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างมากอันเกิดจากการชนกันโดยแรง และตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ แสดงจุดชนและรถยนต์ที่โจทก์ขับไถลไปหยุด อยู่ห่างจุดชนประมาณ 35 เมตร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโจทก์ขับรถมาด้วยความเร็วและไม่ได้ชะลอความเร็วของรถเมื่อเข้าใกล้ทางร่วมทางแยกเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุรถชนกัน โจทก์จึงมีส่วนขับรถโดยประมาทเลินเล่ออยู่ด้วย แต่ตามพฤติการณ์เกิดเหตุถือได้ว่าจำเลยมีส่วนประมาทมากกว่า ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยขับรถโดยประมาทเลินเล่อเพียงฝ่ายเดียวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 247,420.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 14 พฤศจิกายน 2556) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share