แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 นั้น ผู้ที่จะถูกส่งตัวไปเข้ารับการฟื้นฟูคือบุคคลตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 19 ไม่ว่าผู้นั้นจะยินยอมเข้ารับการฟื้นฟูหรือไม่ก็ตาม โดยศาลจะมีคำสั่งให้ส่งตัวผู้นั้นตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดก่อน และคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมีอำนาจวินิจฉัยว่าผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ผู้ใดเป็นผู้เสพหรือติดยาเสพติด จากนั้นต้องจัดให้มีแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามมาตรา 22 จำเลยกระทำผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง ข้อ 1 ก. เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2553 ก่อนการกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1 ข. ในระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม 2555 ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2555 นั้น จำเลยเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด แต่จำเลยรายงานตัวไม่ครบตามกำหนดนัดถือว่าไม่ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดอันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 30 และมาตรา 31 พนักงานเจ้าหน้าที่จึงมีอำนาจจับจำเลยเข้าไปไว้ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดเพื่อบำบัดฟื้นฟูและให้มีอำนาจลงโทษตาม มาตรา 32 แต่เมื่อได้ตัวจำเลยมาดำเนินคดีนี้แล้ว ไม่ปรากฏว่าคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยตามฟ้อง ข้อ 1 ก. และยังถือไม่ได้ว่าจำเลยต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง การที่คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดของจำเลยในการกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1 ข. ว่าผลการฟื้นฟู ไม่เป็นที่น่าพอใจในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนครั้งแรกซึ่งต้องดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และถือว่าจำเลยอยู่ระหว่างต้องหาหรือถูกดำเนินคดีอื่นซึ่งมีโทษจำคุกไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 ต่อไป โดยยังไม่ได้ปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามฟ้องข้อ 1 ข. เช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 จำคุก 1 ปี และปรับ 20,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยโดยกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ต่อมาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปเพื่อตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติด โดยคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด กรุงเทพมหานคร คณะที่ 7 มีคำวินิจฉัย ให้จำเลยเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด แบบไม่ควบคุมตัวในโปรแกรมคุมประพฤติ เป็นเวลา 6 เดือน โดยรายงานตัวตามที่พนักงานคุมประพฤติกำหนดห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกชนิดและยินยอมให้พนักงานเจ้าหน้าที่เก็บปัสสาวะเพื่อตรวจหาสารเสพติด ต่อมาจำเลยมารายงานตัวไม่ครบตามกำหนดนัด พนักงานเจ้าหน้าที่มีหนังสือแจ้งเตือนแล้ว แต่จำเลยก็ไม่มาพบ คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกรุงเทพมหานคร คณะที่ 7 จึงวินิจฉัยว่า ผลการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดไม่เป็นที่น่าพอใจและให้แจ้งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการต่อไป ตามคำวินิจฉัยคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด กรุงเทพมหานคร คณะที่ 7 ที่ 941/2553 และที่ 5611/2555 เอกสารท้ายฟ้อง ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและศาลชั้นต้นอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปเพื่อตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติด แต่คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด กรุงเทพมหานคร คณะที่ 7 วินิจฉัยว่า ผลการฟื้นฟูไม่เป็นที่น่าพอใจในความผิดตามฟ้องข้อ 1 ก. เนื่องจากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัย ซึ่งต้องดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนและถือว่าจำเลยอยู่ระหว่างต้องหาหรือถูกดำเนินคดีอื่นซึ่งมีโทษจำคุกเป็นผลให้ไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 ต่อไป ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งยกเลิกการตรวจพิสูจน์แล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 นั้น ผู้ที่จะถูกส่งตัวไปเข้ารับการฟื้นฟู คือ บุคคลตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 19 ไม่ว่าผู้นั้นจะยินยอมเข้ารับการฟื้นฟูหรือไม่ก็ตาม โดยศาลจะมีคำสั่งให้ส่งตัวผู้นั้นไปตรวจพิสูจน์การเสพหรือการติดยาเสพติดก่อนและคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมีอำนาจวินิจฉัยว่า ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ผู้ใดเป็นผู้เสพหรือติดยาเสพติด จากนั้นจะต้องจัดให้มีแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามมาตรา 22 ซึ่งการกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนของจำเลยตามฟ้องข้อ 1 ก. เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2553 ก่อนการกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1 ข. เมื่อระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม 2555 ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2555 นั้น จำเลยต้องเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดตามแผนการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกรุงเทพมหานคร คณะที่ 7 กำหนด แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดให้ครบถ้วน โดยมารายงานตัวไม่ครบตามกำหนดนัด กรณีจึงถือว่าจำเลยไม่ได้ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามแผนฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 มาตรา 30 และมาตรา 31 พนักงานเจ้าหน้าที่จึงมีอำนาจจับจำเลยเข้าไว้ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดเพื่อบำบัดฟื้นฟูตามแผนและให้มีอำนาจลงโทษตามมาตรา 32 ได้อีกด้วย แต่เมื่อได้ตัวจำเลยมาดำเนินคดีนี้แล้ว ไม่ปรากฏว่าคณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกรุงเทพมหานคร คณะที่ 7 ได้ดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ดังกล่าวแต่ประการใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยตามฟ้องข้อ 1 ก. และกรณีดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิดฐานอื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 การที่คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดกรุงเทพมหานคร คณะที่ 7 มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดของจำเลยในการกระทำความผิดตามฟ้องข้อ 1 ข. ว่า ผลการฟื้นฟูไม่เป็นที่น่าพอใจในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนครั้งแรก เนื่องจากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัย ซึ่งต้องดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และถือว่าจำเลยอยู่ระหว่างต้องหาหรือถูกดำเนินคดีอื่นซึ่งมีโทษจำคุกเป็นผลให้ไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ.2545 ต่อไป จึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยตามฟ้องข้อ 1 ข. เช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน