แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องแยกเป็นข้อ ๆ ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้า ร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง ร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน และร่วมกันจำหน่ายโดยการขายปุ๋ยเคมีดังกล่าวให้แก่ร้าน จ. แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองแยกเป็นรายกระทงความผิดตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง ทั้งความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้า ฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง และฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน กับความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายปุ๋ยเคมีดังกล่าวเป็นความผิดที่ต้องอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแยกต่างหากจากกันได้ แม้ปุ๋ยเคมีปลอม ปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง ปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียน และปุ๋ยเคมีที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน และจำเลยทั้งสองร่วมกันขายปุ๋ยเคมีดังกล่าวในช่วงเวลาเดียวกันก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาแยกการร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้า ร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง และร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียนแต่มิได้ขึ้นทะเบียนต่างหากจากการร่วมกันขายปุ๋ยเคมีดังกล่าวตั้งแต่จำเลยทั้งสองร่วมกันขายปุ๋ยเคมีให้แก่ร้าน จ. แล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ.2518 มาตรา 3, 4, 30, 32, 35, 63, 64, 71, 72, 72/5, 72/6 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 ริบปุ๋ยเคมีปลอมของกลางให้ตกแก่กรมวิชาการเกษตรเพื่อทำลายเสียหรือจัดการตามที่เห็นควร และให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1268/2558, 1390/2558, 1595/2558, 1517/2558, 1605/2558, 1632/2558, 1524/2558 และ 1659/2558 กับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2523/2557, 3412/2557 และ 3413/2557 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพ กับให้การเพิ่มเติมว่าฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำและฟ้องซ้อนกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2523/2557, 2531 – 2534/2557 และ 2615/2557 กับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1268/2558 ของศาลชั้นต้น และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติปุ๋ย พ.ศ.2518 มาตรา 30 (1) (5), 32 (3) (5), 63 วรรคหนึ่ง, 64 วรรคหนึ่ง, 71 วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72/6 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยปลอมเพื่อการค้า ปุ๋ยที่ต้องขึ้นทะเบียน แต่มิได้ขึ้นทะเบียน ปุ๋ยเคมีที่แสดงเครื่องหมายการค้าของผู้ผลิตปุ๋ยเคมีเพื่อการค้าไม่ตรงกับความจริงและปุ๋ยเคมีที่ผลิตขึ้นโดยมีปริมาณธาตุอาหารรับรองธาตุต่ำกว่าร้อยละสิบตามที่ขึ้นทะเบียนไว้หรือระบุไว้ในฉลาก เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยปลอมเพื่อการค้าซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 1 ปรับ 200,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 5 ปี ฐานร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้า ฐานร่วมกันขายปุ๋ยเคมีที่แสดงเครื่องหมายการค้าของผู้ผลิตปุ๋ยเคมีเพื่อการค้าไม่ตรงกับความจริง และฐานร่วมกันขายปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียน แต่มิได้ขึ้นทะเบียน เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้าซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 1 ปรับ 120,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 3 ปี รวมจำเลยที่ 1 ปรับ 320,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 8 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำเลยที่ 1 ปรับ 160,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 4 ปี หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1390/2558, 1595/2558, 1517/2558, 1605/2558, 1632/2558, 1524/2558 และ 1659/2558 ของศาลชั้นต้น ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1268/2558 ของศาลชั้นต้นนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2523/2557, 3412/2557 และ 3413/2557 ของศาลชั้นต้น ยังไม่มีคำพิพากษา จึงให้ยกคำขอ ริบปุ๋ยเคมีปลอมของกลางให้ตกแก่กรมวิชาการเกษตรเพื่อทำลายหรือจัดการตามที่เห็นสมควร
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้าซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 1 ปรับ 200,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 5 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำเลยที่ 1 ปรับ 100,000 บาท จำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี 6 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องแยกเป็นข้อ ๆ ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้า ร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง ร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียน แต่มิได้ขึ้นทะเบียน และร่วมกันจำหน่ายโดยการขายปุ๋ยเคมีดังกล่าวให้แก่ร้านจิตติชัยการเกษตร แสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองแยกเป็นรายกระทงความผิดตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง ทั้งความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้า ฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง และฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียน แต่มิได้ขึ้นทะเบียน กับความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายปุ๋ยเคมีดังกล่าวเป็นความผิดที่อาศัยเจตนาในการกระทำความผิดแยกต่างหากจากกันได้ แม้ปุ๋ยเคมีปลอม ปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง ปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียน แต่มิได้ขึ้นทะเบียน และปุ๋ยเคมีที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน และจำเลยทั้งสองร่วมกันขายปุ๋ยเคมีดังกล่าวในช่วงเวลาเดียวกันก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาแยกการร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้า ร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง และร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียน แต่มิได้ขึ้นทะเบียน ต่างหากจากการร่วมกันขายปุ๋ยเคมีดังกล่าวตั้งแต่จำเลยทั้งสองร่วมกันขายปุ๋ยเคมีให้แก่ร้านจิตติชัยการเกษตรแล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมเพื่อการค้า ร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีซึ่งแสดงชื่อการค้าไม่ถูกต้อง และร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีที่ต้องขึ้นทะเบียน แต่มิได้ขึ้นทะเบียน กับความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายโดยการขายปุ๋ยเคมีดังกล่าว จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 หาใช่กรรมเดียวกันดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาไม่ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น