คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8415/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันฉ้อโกงเงิน 2,000,000 บาท ไปจากโจทก์ร่วม ทรัพย์สิน 47 รายการ คิดเป็นเงิน 473,000 บาท ที่จำเลยที่ 2 กับพวกได้มาจากการนำเงินที่ฉ้อโกงโจทก์ร่วมไปซื้อมาไว้ในครอบครองไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์ร่วมสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจคืนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วมได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่ได้คืนทรัพย์สิน 47 รายการ ให้แก่โจทก์ร่วม แต่มิได้พิพากษาให้จำเลยที่ 2 คืนเงินในจำนวนเท่ากับราคาทรัพย์สิน 47 รายการ ให้แก่โจทก์ร่วมด้วยเป็นการไม่ชอบ เพราะจะทำให้โจทก์ร่วมได้รับเงินที่โจทก์ร่วมสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 กับพวกคืนจากจำเลยที่ 2 กับพวกไม่ครบถ้วน ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 341, 342 (1), 357 ให้คืนปลอกพลาสติกสำหรับรัดเงิน 3 อัน คืนเงิน 230,000 บาท กับทรัพย์สินรวม 47 รายการ เป็นเงิน 473,000 บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 1,297,000 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย และริบรถยนต์ทั้งสองคันของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 หลบหนี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 เป็นการชั่วคราว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 342 (1) ประกอบมาตรา 83 (ที่ถูก มาตรา 342 (1) ประกอบมาตรา 83) จำคุก 5 ปี กับให้คืนหรือใช้เงิน 1,297,000 บาท ที่ผู้เสียหาย (ที่ถูก โจทก์ร่วม) ยังไม่ได้รับคืนแก่ผู้เสียหาย (ที่ถูก โจทก์ร่วม) ริบรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บค 3178 นครพนม และรถยนต์หมายเลขทะเบียน กจ 2536 นครราชสีมา ของกลาง และให้คืนปลอกพลาสติกสำหรับรัดเงิน 3 อัน เงิน 230,000 บาท และทรัพย์สิน 47 รายการ ของกลางแก่ผู้เสียหาย (ที่ถูก โจทก์ร่วม)
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บค 3178 นครพนม กับรถยนต์หมายเลขทะเบียน กจ 2536 นครราชสีมา และทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่เจ้าของ ยกฟ้องข้อหารับของโจร นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า วันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันฉ้อโกงเงิน 2,000,000 บาท ไปจากโจทก์ร่วม ต่อมาวันที่ 21 ธันวาคม 2542 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 2 และยึดได้เงิน 230,000 บาท อันเป็นเงินส่วนหนึ่งที่จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันฉ้อโกงไปจากโจทก์ร่วม กับทรัพย์สินอีก 47 รายการ คิดเป็นเงิน 473,000 บาท เป็นของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และให้คืนเงินของกลาง 230,000 บาท แก่โจทก์ร่วม กับให้คืนหรือใช้เงิน 1,297,000 บาท ที่โจทก์ร่วมยังไม่ได้รับคืนแก่โจทก์ร่วม แต่ทรัพย์สินอีก 47 รายการ คิดเป็นเงิน 473,000 บาท ให้คืนแก่เจ้าของ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน 47 รายการ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงตรงกันว่าจำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันฉ้อโกงเงิน 2,000,000 บาท ไปจากโจทก์ร่วม ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงต้องคืนเงิน 2,000,000 บาท ให้แก่โจทก์ร่วมตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ให้อำนาจโจทก์ไว้ แต่ทรัพย์สินทั้ง 47 รายการ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์ร่วมสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 ศาลจึงไม่อาจคืนทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วมได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้คืนทรัพย์สินดังกล่าวแก่เจ้าของนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไม่ได้คืนทรัพย์สินทั้ง 47 รายการดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วม แต่มิได้พิพากษาให้จำเลยที่ 2 คืนเงินในจำนวนเท่ากับราคาทรัพย์ 47 รายการ ให้แก่โจทก์ร่วมด้วยย่อมไม่ชอบ เพราะจะทำให้โจทก์ร่วมได้รับเงินที่โจทก์ร่วมสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 กับพวกคืนจากจำเลยที่ 2 กับพวก ไม่ครบถ้วน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 คืนเงินอีก 473,000 บาท แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share