คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5041/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าและแม้ค่าไฟฟ้าจะถือเป็นหนี้ค่าแระแสไฟฟ้าอันเป็นกิจการที่ใช้ผลิตและจำหน่ายก็ตาม แต่หนี้ค่ากระแสไฟฟ้าคดีนี้ไม่ใช่หนี้ค่ากระแสไฟฟ้าที่โจทก์เรียกเก็บจากจำเลยที่ 1 ตามปกติ แต่เป็นค่ากระแสไฟฟ้าส่วนที่ขาดเพราะเหตุมาตรวัดไฟฟ้าเดินคลาดเคลื่อน ทำให้คำนวณค่าใช้ไฟฟ้าขาดตกบกพร่องไปเมื่อคำนวณใหม่ให้ถูกต้องแล้วเรียกค่าใช้กระแสไฟฟ้าเพิ่มเติม อายุความส่วนนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 มิใช่อายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) เมื่อโจทก์ตรวจพบจุดบกพร่องและทำการแก้ไขเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2543 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่ากระแสไฟฟ้าที่ขาดเพิ่มเติมนับแต่นั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2543 โจทก์ตรวจสอบพบว่ามาตรวัดไฟฟ้า (มิเตอร์) ของจำเลยที่ 1 อ่านค่าคลาดเคลื่อนโดยอ่านค่าได้น้อยกว่าความเป็นจริงจึงได้ทำการปรับปรุงค่าไฟฟ้าในช่วงดังกล่าว ขอใหบังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 10,258,456.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 7,705,882.85 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ต้องร่วมชำระเงินค่าไฟฟ้าปรับปรุงจำนวน 2,305,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,305,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 6,111,125.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 2 ร่วมชำระเงินจำนวน 2,305,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้เถียงในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พ.ศ.2503 มีวัตถุประสงค์ในการผลิต จัดให้ได้มา จัดส่ง และจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าเป็นกิจการสาธารณูปโภค เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2534 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับโจทก์เพื่อใช้ในกิจการผลิตแป้งมันสำปะหลัง โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการชำระค่าไฟฟ้าของจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 2,305,000 บาท ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.6 ต่อมาเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2543 พนักงานของโจทก์ตรวจสอบพบว่า มาตรวัดไฟฟ้า (มิเตอร์) ของจำเลยที่ 1 อ่านค่าการใช้ไฟฟ้าคลาดเคลื่อนน้อยกว่าความเป็นจริง เนื่องจากจุดต่อสายของหม้อแปลงกระแสไฟฟ้าแรงสูงหลวม ทำให้มาตรวัดไฟฟ้าหมุนช้าลงกว่าปกติตามบันทึกการตรวจสอบมิเตอร์เอกสารหมาย จ.7 โจทก์จึงแก้ไขและปรับปรุงค่าไฟฟ้าย้อนหลังในส่วนที่ขาดหายไปตามหลักเกณฑ์กรณีมาตรวัดไฟฟ้าผิดปกติของโจทก์ที่ใช้บังคับทั่วไปตามเอกสารหมาย จ.11 โดยหาความแตกต่างของหน่ายระยะการใช้ไฟฟ้าจากมาตรวัดไฟฟ้าที่คลาดเคลื่อนกับระยะการใช้ไฟฟ้าจากมาตรวัดไฟฟ้าที่อ่านถูกต้องแล้วคิดเปอร์เซ็นต์แตกต่างได้ร้อยละ 81.21 ซึ่งหมายความว่า มาตรวัดไฟฟ้าที่คลาดเคลื่อนอ่านค่าถูกต้องได้เพียงร้อยละ 18.79 จึงนำเปอร์เซ็นต์ของมาตรวัดไฟฟ้าที่คลาดเคลื่อนไปปรับปรุงหน่วยและกิโลวัตต์ ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2542 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2543 ให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วจะได้จำนวนเงินที่ถูกต้อง หักลบกับจำนวนเงินที่เรียกเก็บแล้ว จึงเหลือเงินที่จะต้องเรียกเก็บเพิ่มอีกจำนวน 7,705,882.85 บาท รวมกับค่าภาษีมูลค่าภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 7 เป็นเงิน 539,411.80 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 8,245,294.65 บาท ตามสถิติการใช้ไฟฟ้าเปรียบเทียบของจำเลยที่ 1 และรายการปรับปรุงค่าไฟฟ้าของจำเลยที่ 1
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) แล้ว หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการผลิตและจัดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค ถือเป็นผู้ประกอบการค้าตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวและแม้ค่ากระแสไฟฟ้าฟ้องเรียกให้จำเลยที่ ชำระแก่โจทก์ จะถือเป็นหนี้ค่ากระแสไฟฟ้าอันเป็นกิจการที่ใช้ผลิตและจำหน่ายก็ตาม แต่หนี้ค่ากระแสไฟฟ้าคดีนี้ไม่ใช่หนี้ค่ากระแสไฟฟ้าที่โจทก์ได้เรียกเก็บจากจำเลยที่ ตามปกติแล้วจำเลยที่ ไม่ยอมชำระให้แต่อย่างใด หากแต่เป็นค่ากระแสไฟฟ้าที่ขาดตกบกพร่องไป อันเนื่องมาจากมาตรวัดไฟฟ้าของจำเลยที่ คลาดเคลื่อนน้อยกว่าความเป็นจริงเพราะจดต่อสายของหม้อแปลงไฟฟ้าแรงสูงหลวม ทำให้มาตรวัดไฟฟ้าของจำเลยที่ หมุนช้ากว่าปกติ ทำให้โจทก์เรียกเก็บค่ากระแสไฟฟ้าที่จำเลยที่ 1 ใช้ไปน้อยกว่าความเป็นจริง เมื่อโจทก์ตรวจสอบพบจุดบกพร่องจึงทำการแก้ไขแล้วเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระค่ากระแสไฟฟ้าส่วนที่ขาดเพราะเหตุมาตรวัดไฟฟ้าคำนวณค่าใช้ไฟฟ้าขาดตกบกพร่องไป เมื่อคำนวณใหม่ให้ถูกต้องแล้วเรียกค่าใช้กระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมส่วนที่ขาด อายุความส่วนนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 มาบังคับใช้เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ตรวจพบจุดบกพร่องและทำการแก้ไขเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2543 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่ากระแสไฟฟ้าที่ขาดเพิ่มเติมจากจำเลยที่ 1 นับแต่นั้นเมื่อนับถึงวันที่โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องวันที่ 16 ตุลาคม 2545 ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เพียงใดนั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของนายเดชา ซึ่งขณะเกิดเหตุเป็นผู้จัดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดสระแก้วว่าจำเลยที่ 1 ประกอบกิจการผลิตแป้งมันสำปะหลัง การใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือนจะไม่เท่ากันและจะแบ่งเป็นฤดูกาลผลิตและนอกฤดูกาลผลิต ในฤดูกาลผลิตจะใช้ไฟฟ้ามากส่วนนอกฤดูกาลผลิตก็จะใช้ไฟฟ้าน้อย ดังนั้น หลักเกณฑ์การปรับปรุงค่าไฟฟ้ากรณีมาตรวัดไฟฟ้าผิดปกติจึงต้องใช้หลักเกณฑ์ ข้อ 1.5.3 ของเอกสารหมาย จ.11 ที่กำหนดให้พิจารณาปรับปรุงโดยเปรียบเทียบกับสถิติการใช้ไฟฟ้าของปีก่อนหน้านั้นในฤดูกาลผลิตหรือนอกฤดูกาลผลิตในระยะเดียวกัน ตามสถิติการใช้ไฟฟ้าเปรียบเทียบของจำเลยที่ 1 และได้ส่งสถิติการใช้ไฟฟ้าเปรียบเทียบของจำเลยที่ 1 ไปให้กองเศรษฐกิจพลังไฟฟ้าสำนักงานใหญ่ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบ พบว่าสาเหตุผิดปกติดังกล่าวน่าจะเริ่มต้นจากเดือนสิงหาคม 2542 เป็นต้นไป จนกระทั่งตรวจพบจุดบกพร่องเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2543 ซึ่งเป็นช่วงที่มาตรวัดไฟฟ้าของจำเลยที่ 1 อ่านค่าน้อยลงกว่าปกติทั้งๆ ที่เป็นช่วงฤดูกาลผลิตแป้งมันสำปะหลังหลังจากตรวจพบจุดบกพร่องและทำการแก้ไขแล้วในช่วงเดือนเดียวกันในปี 2542 นับแต่เดือนสิงหาคม 2543 เป็นต้นไป สถิติการใช้ไฟฟ้าของจำเลยที่ 1 ก็มีค่าสูงมากกว่าปี 2543 ในเดือนเดียวกันและเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือนสิงหาคมก่อนปี 2542 สถิติการใช้ไฟฟ้าของจำเลยที่ 1 ก็สูงเช่นกัน และนอกจากนี้ยังได้ความว่าในช่วงเดือนสิงหาคม 2542 จำเลยที่ 1 ได้ขออนุญาตขยายโรงงานและได้ขอเพิ่มขนาดหม้อแปลงกระแสไฟฟ้า ซี.ที. จากขนาด 10/5 แอมป์ เป็น 100/5 แอมป์ เพื่อขยายการผลิตสินค้าตารมเอกสารใบติดตั้งและถอนคืนมิเตอร์ จึงมีเหตุผลให้ฟังได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้ขยายโรงงานเพื่อเพิ่มผลผลิตในฤดูกาลผลิตจึงน่าจะต้องใช้กระแสไฟฟ้าในการผลิตมากขึ้นกว่าเดิม แต่กลับปรากฏว่ามาตรวัดไฟฟ้าของจำเลยที่ 1 แสดงค่าการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าเดิมจึงเป็นเรื่องผิดปกติ โดยจำเลยที่ 1 มีเพียงนายบัณฑูรย์ ผู้จัดการฝ่ายบุคคลมาเบิกความเพียงผู้เดียวว่า ช่วงเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 1 ทำการผลิตน้อยเนื่องจากขาดวัตถุดิบ ประกอบกับอยู่ระหว่างหยุดซ่อมบำรุงเครื่องจักรนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีหลักฐานมาแสดงว่าช่วงเวลานั้นจำเลยที่ 1 รับซื้อวัตถุดิบจากชาวไร่น้อยกว่าปกติหรือมีหลักฐานการซ่อมบำรุงเครื่องจักรและระยะเวลาที่ใช้ในการหยุดซ่อมบำรุงเครื่องจักรนานเพียงใด มาแสดงยืนยันต่อศาลประกอบคำเบิกความของนายบัณฑูรย์แต่อย่างใด จึงเป็นคำเบิกความลอยๆ ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังได้ ที่จำเลยที่ 1 โต้แย้งว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นคนคลายนอตจุดต่อสายดังกล่าวให้หลวม เหตุที่นอตดังกล่าวหลวมอาจเกิดจากพนักงานของโจทก์ที่มาติดตั้งเปลี่ยนหม้อแปลงเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2542 ขันนอตไม่แน่นจึงไม่ใช่ความผิดของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังไม่ได้ว่าใครเป็นคนคลายนอตจุดต่อสายหม้อแปลงกระแสไฟฟ้าแรงสูงดังกล่าวให้หลวมก็ตาม แต่จุดบกพร่องดังกล่าวตามแผนผัง นายบัณฑูรย์ก็เบิกความรับว่าตั้งอยู่ในพื้นที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีประตูเข้า-ออกและมีพนักงานรักษาความปลอดภัยเฝ้าจึงยากที่บุคคลภายนอกจะเข้าไปทำการคลายนอตดังกล่าวได้ ดังนั้นหากมิใช่คนของจำเลยที่ 1 ขึ้นไปคลายนอตดังกล่าวแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าพนักงานของโจทก์ที่ไปติดตั้งหม้อแปลงใหม่ให้แก่จำเลยที่ 1 ขันนอตไม่แน่น ตามที่จำเลยที่ 1 โต้แย้งก็เป็นได้ แต่อย่างใดก็ตามแม้เหตุที่นอตดังกล่าวหลวมเกิดจากการที่พนักงานของโจทก์ขันนอตไม่แน่น ทำให้มาตรวัดไฟฟ้าของจำเลยที่ 1 เดินคลาดเคลื่อนช้ากว่าปกติ ทำให้อ่านค่าการใช้กระแสไฟฟ้าของจำเลยที่ 1 น้อยกว่าที่ใช้ไปจริง โดยที่จำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อกระแสไฟฟ้าจากโจทก์ไปใช้แล้วจำเลยที่ 1 ย่อมมีหน้าที่ชำระหนี้ค่าไฟฟ้าให้แก่โจทก์ตามที่ใช้ไปจริงจำเลยที่ 1 จึงยังต้องรับผิดชำระค่าไฟฟ้าที่ขาดตกบกพร่องตามที่ใช้ไปจริงให้แก่โจทก์ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่า โจทก์ชอบที่จะเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าไฟฟ้าย้อนหลังได้เพียงใดนั้น เห็นว่า สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ข้อ 6 เรื่องการปรับปรุงค่าไฟฟ้า ระบุในข้อ 6.1.1 ว่า หากพิสูจน์ได้ว่ามาตรวัดไฟฟ้าคลาดเคลื่อนมาตั้งแต่วันเวลาใดก็ให้ปรับปรุงย้อนหลังถึงวันเวลานั้น และในข้อ 6.1.2 หากไม่สามารถกำหนดวันเวลาที่มาตรวัดไฟฟ้าคลาดเคลื่อนได้แน่นอน ก็ให้ย้อนหลังไป 6 เดือนนั้น เมื่อทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า โจทก์ทราบว่ามาตรวัดไฟฟ้าของจำเลยที่ 1คลาดเคลื่อนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2542 ถึงเดือนเมษายน 2543 ก็โดยวิธีเปรียบเทียบสถิติการใช้ไฟฟ้าของจำเลยที่ 1 ในปีก่อนและหลังในช่วงระยะเวลาเดียวกันตามหลักเกณฑ์ของโจทก์ แล้วคิดคำนวณย้อนหลังเรียกค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมจากจำเลยที่ 1 ถึงเดือนสิงหาคม 2542 นั้น เป็นเพียงการคาดคะเนเปรียบเทียบตามหลักเกณฑ์ของโจทก์เท่านั้น ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนร่วมรู้เห็นด้วยว่าโจทก์คิดย้อนหลังถูกต้องหรือไม่ กรณีจึงยังไม่อาจฟังได้แน่ชัดว่ามาตรวัดไฟฟ้าของจำเลยที่ 1 เดินคลาดเคลื่อนตั้งแต่วันเวลาใดแน่ ฉะนั้น โจทก์จะถือหลักเกณฑ์ตามสัญญาซื้อขายข้อ 6.1.1 คิดค่าปรับปรุงย้อนหลังไปจนถึงวันที่ 2 สิงหาคม 2542 จึงไม่ชอบ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นให้โจทก์คิดปรับปรุงย้อนหลังไปเพียง 6 เดือน นับแต่วันที่โจทก์ตรวจพบข้อบกพร่องในวันที่ 10 เมษายน 2543 ลงมาตามหลักเกณฑ์ข้อ 6.1.2 จึงชอบด้วยเหตุผลแล้ว สำหรับจำเลยที่ 2 ได้ความว่า เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ค่าไฟฟ้าแก่โจทก์ในวงเงิน 2,305,000 บาท ตามสัญญาค้ำประกันจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ค่าไฟฟ้าที่ขาดตกบกพร่องในวงเงินที่ค้ำประกันแก่โจทก์ด้วยดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์นั้นชอบแล้วส่วนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share