คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2304/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศ. และจำเลยทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองฟ้องร้องกันเรื่องเครื่องหมายการค้า จำเลยแจ้งนำกำลังตำรวจมาตรวจค้นบ้านศ. แล้วจำเลยรื้อค้นของภายในบ้านโดยเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีอำนาจค้นมิได้มอบหมายให้ช่วยเหลือ การกระทำของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อ ศ. ออกปากไล่จำเลยก็ไม่ยอมออกไป ถือได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของ ศ. โดยปกติสุข จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกศาลลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา365 ไม่ต้องอ้าง มาตรา362

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365, 83 ปรับคนละ 1,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าตามวันเวลาเกิดเหตุร้อยตำรวจเอกสานิตย์ สุรังษี สารวัตรแผนก 2 กองกำกับการ 2 กองปราบปรามกับพวก ได้ไปตรวจค้นที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดกัมมานี โจทก์ร่วม ซึ่งมีนางศรีนวลฉันทวานิช เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โดยจำเลยที่ 1 ไปแจ้งความว่าโจทก์ร่วมปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้ายี่ห้อซาแมนต้า โจทก์ร่วมใช้ชั้นล่างของบ้านนางศรีนวลเป็นสำนักงาน ห้องรับแขกและห้องเก็บของ บ้านดังกล่าวมีรั้วรอบขอบชิด จำเลยที่ 1 กับนางศรีนวลมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนเรื่องเครื่องหมายการค้าอันเดียวกันนี้ จำเลยที่ 1 เคยฟ้องนางศรีนวลและห้างหุ้นส่วนจำกัดกัมมานีต่อศาลแพ่ง เรียกค่าเสียหายและขอให้ห้ามการใช้เครื่องหมายการค้า และฟ้องเป็นคดีอาญาหาว่า ปลอมเครื่องหมายการค้าแต่ศาลพิพากษายกฟ้อง ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่าจำเลยได้กระทำผิดตามโจทก์ฟ้องหรือไม่ มีข้อพิจารณาก่อนว่าจำเลยทั้งสองได้ช่วยกันรื้อค้นของภายในบ้านนางศรีนวลหรือไม่ นางศรีนวล นางปริญดา นายสมชาติและพันตำรวจตรีไพรัตน์ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมเบิกความตรงกันว่า จำเลยทั้งสองช่วยกันรื้อค้นของในห้องรับแขกและห้องเก็บของ พยานโจทก์สมเหตุผลเพราะได้ความว่าทั้งสองฝ่ายมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนเรื่องเครื่องหมายการค้า จนกระทั่งฟ้องร้องกันเป็นคดีแพ่งและคดีอาญา วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นผู้ไปแจ้งตำรวจกองปราบปรามและนำกำลังตำรวจมาตรวจค้น เรื่องนี้โดยเฉพาะพันตำรวจตรีไพรัตน์เป็นนายตำรวจท้องที่ มีน้ำหนักให้รับฟังที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 1 เพียงแต่ชี้ให้ดูเครื่องหมายการค้าของห้างหุ้นส่วนซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และจำเลยที่ 2 เป็นผู้หยิบให้ดูนั้น เห็นว่าร้อยตำรวจเอกสานิตย์พยานจำเลยกลับเบิกความเจือสมพยานโจทก์ว่า นางศรีนวลเข้าไปยื้อแย่งสลากที่มีตราเครื่องหมายการค้าจากจำเลยที่ 2 พูดว่า นี่ของฉัน เอาไปไม่ได้ ร้อยตำรวจเอกสานิตย์จึงสั่งให้ทุกคนหยุดตรวจค้น ขอให้เป็นหน้าที่ของตนเอง พยานจำเลยไม่มีน้ำหนักไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ การตรวจค้นวันเกิดเหตุได้ความตามหมายค้นว่า ร้อยตำรวจเอกสานิตย์เป็นผู้มีอำนาจค้น ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 97 ร้อยตำรวจเอกสานิตย์จะต้องจัดการให้เป็นไปตามหมายนั้น ไม่ปรากฏว่าร้อยตำรวจเอกสานิตย์มอบหมายให้จำเลยทั้งสองช่วยเหลือในการค้น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ได้ว่าเป็นการช่วยเหลือเจ้าพนักงานโดยชอบด้วยกฎหมาย พฤติการณ์ของจำเลย ได้ความว่านอกจากกำลังตำรวจประมาณ 10 คน แล้วยังมีช่างภาพหนังสือพิมพ์ไปด้วย ได้นำข่าวและภาพไปลงหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับลงวันที่ 1 และ 2 กันยายน 2520 เห็นได้ว่ากระทำเกินกว่าเหตุ มุ่งทำลายชื่อเสียง ขณะเกิดเหตุน่าเชื่อว่านางศรีนวลได้ออกปากไล่จำเลยทั้งสองให้ออกไปจากบ้าน เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ยอมออก ถือได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วมโดยปกติสุข มีความผิดฐานบุกรุก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365 นั้น ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย เพราะเมื่อจำเลยผิดตามมาตรา 365 แล้วก็ไม่จำต้องยกมาตรา 362 ขึ้นปรับบทลงโทษอีก

พิพากษากลับ จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 ปรับจำเลยทั้งสองคนละ 1,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30”

Share