แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยด่าว่าโจทก์ผู้เป็นมารดาด้วยถ้อยคำหยาบคายว่าโจทก์เป็นสุนัขเป็นคนไม่มีศีลธรรม ให้ที่ดินแล้วยังเอาคืนเป็นคนเนรคุณคน เช่นนี้ เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถือได้ว่าประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์เรียกคืนการให้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาจำเลย โจทก์ได้ยกที่สวนซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยบางส่วน กับที่นา และที่นาป่าช้าให้แก่จำเลยต่อมาจำเลยได้ประพฤติเนรคุณโจทก์โดยไม่ได้ให้การอุปการะเลี้ยงดูในเวลาที่โจทก์ยากไร้ทั้งที่จำเลยสามารถให้ได้ และจำเลยยังด่าว่าโจทก์ว่า อีเฒ่าไม่มีศีลธรรม อีเฒ่าหนอนเจาะ อีหมาให้ที่ดินกูแล้วยังเอาไปขายให้คนอื่นอีก กูไม่เลี้ยงมึงดอก จะเป็นจะตายอย่างไรก็ช่างหัวมึง กูว่ามึงเป็นหมา กูจะเอาอีเฒ่าตายคาคุกเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ขอให้บังคับจำเลยคืนที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ และให้จำเลยโอนที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นมารดาจำเลย เดิมที่ดินพิพาทเป็นของบิดาจำเลยซึ่งเป็นสามีโจทก์ ก่อนบิดาจำเลยตายได้มอบที่พิพาทให้แก่จำเลยโดยมีค่าตอบแทนจำเลยมิได้ประพฤติเนรคุณและมิได้ด่าทอโจทก์ โจทก์มิได้ผู้ยากไร้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนที่ดินตามฟ้องให้โจทก์และให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 2974 และเลขที่ 2977 ตามฟ้องให้โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยจริงแล้ววินิจฉัยว่า “ส่วนปัญหาที่ 2 จำเลยได้ประพฤติเนรคุณโจทก์หรือไม่นั้น โจทก์เบิกความว่า วันเกิดเหตุโจทก์ไปบ้านนายเนียม กัณหา บุตรชาย จำเลยได้มาด่าโจทก์ที่บ้านนายเนียมว่า อีหมา อีบ่ มีศีลธรรม ให้กูแล้วยังมาเอาคืน อีเนรคุณกูจะไม่เรียกมึงว่าแม่อีกต่อไปกูจะเรียกมึงเป็นหมา จะเรียกเป็นหมาตลอดไปจนกว่าจะตาย โจทก์มีนายเนียมและนายคำ ห้วยจันทร์เป็นพยาน เบิกความว่า จำเลยได้ด่าว่าโจทก์จริง ศาลฎีกาเห็นว่าสาเหตุก็มีอยู่โดยโจทก์เอาที่สวนซึ่งโจทก์ว่าเป็นของโจทก์ไปขายให้แก่นายทองดี จำเลยหาว่าโจทก์เอาที่ดินที่บิดาโจทก์ขายให้แล้วให้นายทองดี โจทก์เป็นหญิงชายอายุ 78 ปี จำเลยเคยเลี้ยงดูโจทก์มาก่อน แม้จะมีเรื่องพิพาทกัน ก็ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะเอาความเท็จมาใส่ความจำเลยซึ่งเป็นบุตร นายเนียมพยานโจทก์แม้จะเป็นบุตรโจทก์ แต่ก็เป็นน้องชายของจำเลยไม่มีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลย หากจำเลยไม่ด่าว่าโจทก์ ก็คงจะไม่เป็นพยานสนับสนุนโจทก์ให้กระทำในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงผิดวิสัยของผู้เป็นมารดากระทำต่อบุตร ส่วนนายคำนั้นไม่มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับคดี เป็นแต่เพียงเดินผ่านได้ยินเสียงด่าจึงเข้ามาเป็นเหตุให้รู้เห็นว่าจำเลยด่าว่าโจทก์ เชื่อว่านายคำเบิกความตามที่รู้เห็นมาจริง ส่วนจำเลยนำสืบอ้างสถานที่อยู่ซึ่งมีแต่จำเลยกับสามีเป็นพยานเบิกความลอย ๆ หามีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนไม่ พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลย และมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยได้ด่าว่าโจทก์ตามฟ้องจริง ที่จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์เบิกความเกี่ยวกับคำด่าไม่ตรงกันและไม่ตรงกับฟ้องนั้นเห็นว่า เหตุการณ์ผ่านมานานแล้ว จะให้พยานทุกคนจำคำด่าได้หมดนั้นเป็นไปไม่ได้ คำเบิกความจึงย่อมแตกต่างกันบ้างเป็นธรรมดาแต่พยานโจทก์ก็เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า จำเลยด่าว่าโจทก์ผู้เป็นมารดาด้วยถ้อยคำหยาบคาย ว่าโจทก์เป็นสุนัข เป็นคนไม่มีศีลธรรม ให้ที่ดินแล้วยังเอาคืน เป็นคนเนรคุณคน เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถือได้ว่าประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์เรียกคืนการให้ได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน