คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13706/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตลอดจนการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการต้องไม่กระทบต่อสิทธิของเจ้าหนี้มีประกัน ซึ่งมีทรัพยสิทธิในอันที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินหลักประกันได้ก่อนเจ้าหนี้อื่น การดำเนินการอื่นใดที่เจ้าหนี้มีประกันนั้นไม่ได้ยินยอม หรือจะทำให้เจ้าหนี้มีประกันได้รับชำระหนี้น้อยกว่ามูลค่าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันในเวลาที่มีการยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการ พร้อมดอกเบี้ยและผลประโยชน์ตามสัญญาเมื่อการดำเนินการฟื้นฟูกิจการสิ้นสุดลง ก็ย่อมไม่อาจถือเป็นการให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหนี้มีประกันอย่างเพียงพอแล้วได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/14 (3) ทั้งในการพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยแผน เมื่อมีข้อคัดค้านของเจ้าหนี้ ผู้ทำแผนมีหน้าที่พิสูจน์ว่าแผนฟื้นฟูกิจการนั้นชอบด้วยกฎหมายและศาลควรมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน เมื่อเจ้าหนี้คัดค้านว่า แผนกำหนดให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ เมื่อการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการสำเร็จเป็นจำนวนน้อยกว่ามูลค่าหลักประกันที่แท้จริงนั้น ในการพิจารณาปัญหาดังกล่าวในชั้นพิจารณาแผนจึงต้องพิจารณาราคาประเมินของทรัพย์สินหลักประกันเป็นสาระสำคัญ เมื่อปรากฏตามแผนฟื้นฟูกิจการว่าลูกหนี้ประกอบกิจการโรงแรมตั้งแต่ปี 2532 มีทรัพย์สินหลักที่จำเป็น ต้องใช้ในการดำเนินธุรกิจต่อไป คือ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งส่วนหนึ่งจดทะเบียนจำนองไว้แก่เจ้าหนี้โดยแผนฟื้นฟูกิจการระบุว่า ในระหว่างการดำเนินการตามแผน ถ้าลูกหนี้มิได้เป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ ห้ามมิให้เจ้าหนี้ที่มีหลักประกันซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ บังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิของเจ้าหนี้ดังกล่าวที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันนั้น แสดงว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งจดทะเบียนจำนองไว้แก่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 มีความจำเป็นต่อการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และมิได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันไปในราคาบังคับขายแต่อย่างใด ข้อเสนอในการชำระหนี้ตามแผนดังกล่าว ผู้ทำแผนจึงต้องนำสืบให้ได้ว่าเมื่อการดำเนินการตามแผนสำเร็จ เจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันจะต้องได้รับข้อเสนอชำระหนี้ตามแผนไม่น้อยกว่าราคาทรัพย์สินหลักประกันในราคาตลาดปัจจุบัน ณ วันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน เมื่อผู้ทำแผนนำสืบให้รับฟังไม่ได้ว่า เมื่อการดำเนินการตามแผนสำเร็จเจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันจะได้รับชำระหนี้ตามแผนไม่น้อยกว่าราคาทรัพย์สินหลักประกันในราคาตลาดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/58 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 90/14 แผนจึงมิชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้และตั้งลูกหนี้เป็นผู้ทำแผนเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2550 ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2551 ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/46 (2) และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งแจ้งความเรื่องวันนัดพิจารณาแผนให้ผู้ทำแผน ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ทั้งหลายทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามวันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/56 แล้ว
เจ้าหนี้ยื่นคำคัดค้านขอให้มีคำสั่งไม่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการ
ผู้ทำแผนยื่นคำชี้แจงขอให้ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยว่า แผนมีรายการครบถ้วนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/42 ข้อเสนอในการชำระหนี้ไม่ขัดต่อมาตรา 90/42 ตรี และเมื่อการดำเนินการตามแผนสำเร็จจะทำให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่ศาลจะมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนได้ตามมาตรา 90/58 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (3) จึงมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
เจ้าหนี้อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2551 ที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติพิเศษยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการคิดเป็นร้อยละ 79.49 แห่งจำนวนหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งได้เข้าประชุมด้วยตนเองหรือมอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทนในที่ประชุมเจ้าหนี้และได้ออกเสียงลงคะแนนในมตินั้น ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/46 (2) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งแจ้งความเรื่องวันนัดพิจารณาแผนให้ผู้ทำแผน ลูกหนี้ และเจ้าหนี้ทั้งหลายทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามวัน ตามมาตรา 90/56 แล้ว คงมีเจ้าหนี้เพียงรายเดียวที่ยื่นคำคัดค้านแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามมาตรา 90/57 แผนฟื้นฟูกิจการได้จัดให้เจ้าหนี้ อยู่ในเจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันประเภทเจ้าหนี้สถาบันการเงินที่มีจำนวนหนี้มีประกันลำดับที่ 1 และที่ 2 น้อยกว่าร้อยละ 15 ของจำนวนหนี้ทั้งหมด (จำนวนหนี้ทั้งหมด คือ 605,821,305.43 บาท) เจ้าหนี้ในกลุ่มนี้มีจำนวน 2 ราย คือ เจ้าหนี้และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ภาระหนี้ที่ลูกหนี้ค้างชำระต่อเจ้าหนี้ทั้งสองรายคิดเป็นเงิน 127,044,993.84 บาท ตามแผนกำหนดระยะเวลาในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ภายใน 11 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน (ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551) โดยลูกหนี้จะชำระภาระหนี้ต้นเงินจัดสรรทั้งจำนวน (อัตราร้อยละ 100) กำหนดชำระหนี้ต้นเงินจัดสรรงวดละ 1 ปี ส่วนดอกเบี้ย กำหนดชำระตามแผนรอบระยะเวลาทุก ๆ 6 เดือน (งวดเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม) ในอัตราดอกเบี้ยสำหรับปีที่ 1 ถึงปีที่ 10 ดังนี้อัตราร้อยละ 0.0 ต่อปี ร้อยละ 3 ต่อปี ร้อยละ 5 ต่อปี ร้อยละ 6 ต่อปี ร้อยละ 7 ต่อปี ร้อยละ 8 ต่อปี ร้อยละ 9 ต่อปี ร้อยละ 10 ต่อปี ร้อยละ 11 ต่อปี และร้อยละ 12 ต่อปี ตามลำดับ และปีที่ 11 อัตราร้อยละ 12 ต่อปี โดยเจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ตกลงยกปลดภาระดอกเบี้ยคงค้าง และดอกเบี้ยระหว่างกาลให้แก่ลูกหนี้ทั้งจำนวน แผนฟื้นฟูกิจการได้กำหนดเรื่องผลสำเร็จตามแผนไว้ในบทที่ 11 ข้อ 11.2.2 ว่า เมื่อดำเนินการชำระหนี้ต้นเงินจัดสรรและดอกเบี้ยตามแผนให้แก่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน และยังอยู่ในระหว่างกำหนดระยะเวลาการดำเนินการตามแผน ให้ถือว่าการฟื้นฟูกิจการเป็นผลสำเร็จตามแผนแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ว่า เมื่อดำเนินการตามแผนสำเร็จจะทำให้เจ้าหนี้ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันได้รับชำระหนี้ไม่น้อยกว่ากรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/58 วรรคหนึ่ง (3) หรือไม่ ที่เจ้าหนี้อุทธรณ์ว่า ตามแผนฟื้นฟูกิจการเจ้าหนี้ถูกจัดอยู่ในเจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ร่วมกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันลำดับที่ 1 และที่ 2 น้อยกว่าร้อยละ 15 ของจำนวนหนี้ทั้งหมดที่อาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้ โดยเจ้าหนี้มีสัดส่วนหนี้จำนองเท่ากับร้อยละ 18 ของมูลค่าหลักประกันทั้งหมด ซึ่งแม้ตามแผนฟื้นฟูกิจการกำหนดมูลค่าหลักประกันกรณีบังคับขายจำนวน 265,591,157.70 บาท เจ้าหนี้ก็มีมูลค่าหลักประกันกรณีบังคับขายจำนวน 47,873,008.39 บาท จึงมากกว่ามูลค่าการรับชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการที่กำหนดให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เพียงจำนวน 36,850,000 บาท เมื่อการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการสำเร็จนั้น เห็นว่า ในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ หากหลักประกันของลูกหนี้ไม่มีความจำเป็นต่อการฟื้นฟูกิจการ หรือมิได้ให้ความคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้มีประกันอย่างเพียงพอ เจ้าหนี้ดังกล่าวย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องต่อศาลที่รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการเพื่อขอใช้สิทธิบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันโดยไม่ต้องขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการก็ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/28 ประกอบมาตรา 90/12 (6), 90/13 และมาตรา 90/14 เช่นนี้ การฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตลอดจนการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการจึงต้องไม่กระทบต่อสิทธิของเจ้าหนี้มีประกันดังกล่าว ซึ่งมีทรัพยสิทธิในอันที่จะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินหลักประกันได้ก่อนเจ้าหนี้อื่น การดำเนินการอื่นใดที่เจ้าหนี้มีประกันนั้นไม่ได้ยินยอม หรือจะทำให้เจ้าหนี้มีประกันได้รับชำระหนี้น้อยกว่ามูลค่าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันในเวลาที่มีการยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการ พร้อมดอกเบี้ยและผลประโยชน์ตามสัญญาเมื่อการดำเนินการฟื้นฟูกิจการสิ้นสุดลง ก็ย่อมไม่อาจถือเป็นการให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหนี้มีประกันอย่างเพียงพอแล้วได้ตามมาตรา 90/14 (3) ทั้งในการพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยแผน เมื่อมีข้อคัดค้านของเจ้าหนี้ ผู้ทำแผนมีหน้าที่พิสูจน์ว่าแผนฟื้นฟูกิจการนั้นชอบด้วยกฎหมายและศาลควรมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน คดีนี้เมื่อเจ้าหนี้คัดค้านว่า แผนกำหนดให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เมื่อการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการสำเร็จเป็นจำนวนน้อยกว่ามูลค่าหลักประกันที่แท้จริงนั้น ในการพิจารณาปัญหาดังกล่าวในชั้นพิจารณาแผนจึงต้องพิจารณาราคาประเมินของทรัพย์สินหลักประกันเป็นสาระสำคัญ เมื่อปรากฏตามแผนฟื้นฟูกิจการว่าลูกหนี้ประกอบกิจการโรงแรมตั้งแต่ปี 2532 มีทรัพย์สินหลักที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินธุรกิจต่อไป คือ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งส่วนหนึ่งจดทะเบียนจำนองไว้แก่เจ้าหนี้โดยแผนฟื้นฟูกิจการ ข้อ 12.6 ระบุว่า ในระหว่างการดำเนินการตามแผน ถ้าลูกหนี้มิได้เป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ ห้ามมิให้เจ้าหนี้ที่มีหลักประกันซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ บังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่เป็นการเสื่อมสิทธิของเจ้าหนี้ดังกล่าวที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันนั้น แสดงว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งจดทะเบียนจำนองไว้แก่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 มีความจำเป็นต่อการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และมิได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันไปในราคาบังคับขายแต่อย่างใด ข้อเสนอในการชำระหนี้ตามแผนดังกล่าว ผู้ทำแผนจึงต้องนำสืบให้ได้ว่าเมื่อการดำเนินการตามแผนสำเร็จ เจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันจะต้องได้รับข้อเสนอชำระหนี้ตามแผนไม่น้อยกว่าราคาทรัพย์สินหลักประกันในราคาตลาดปัจจุบัน ณ วันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน ในชั้นพิจารณาแผนผู้ทำแผนชี้แจงว่า ได้จัดทำแผนโดยตามรายการรายละเอียดทรัพย์สินหลักประกัน (ราคาประเมินกลาง, ราคาบังคับขาย) ของแผนที่ระบุว่า ทรัพย์สินหลักประกันที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมีราคาประเมินราคาตลาดรวม 379,944,511 บาท นั้น แต่ผู้ทำแผนจัดทำแผนโดยใช้ราคาบังคับขายรวม 265,961,157.70 บาท หักด้วยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกัน ค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี และเงินอื่น ๆ ที่มีสิทธิได้รับก่อนเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 คงเหลือราคาบังคับขายสุทธิจำนวน 206,303,637.47 บาท เมื่อเจ้าหนี้มีสัดส่วนหนี้จำนองเท่ากับร้อยละ 18 ของมูลค่าหลักประกันราคาบังคับขายสุทธิดังกล่าว มูลค่าหลักประกันของเจ้าหนี้จึงเท่ากับ 37,134,654.71 บาท แผนในข้อ 4.4.2 การจัดสรรกลุ่มเจ้าหนี้เพื่อการชำระคืน ประกอบตารางการจัดสรรชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ จึงได้กำหนดจัดสรรชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ในกลุ่มที่ 2 เป็นชำระหนี้เงินต้นจำนวน40,979,244 บาท โดยแบ่งผ่อนชำระ 11 ปี และชำระดอกเบี้ยตั้งแต่ปีที่ 2 ถึงปีที่ 11 รวม 15,718,354 บาท เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้รวมทั้งสิ้น 56,697,598 บาท และตามแผนข้อ 12.6 เมื่อเจ้าหนี้ดังกล่าวได้รับชำระหนี้ครบถ้วนตามแผน สิทธิของเจ้าหนี้ที่มีอยู่เหนือหลักประกันย่อมระงับสิ้นไปนั้น เห็นได้ว่าข้อเสนอในการชำระหนี้ตามแผนดังกล่าวกระทบสิทธิของเจ้าหนี้มีประกันอย่างไม่เป็นธรรม โดยผู้ทำแผนจะอ้างราคาบังคับขายทรัพย์สินหลักประกันเพื่อแสดงว่าเจ้าหนี้มีประกันในกลุ่มที่ 2 ซึ่งมิได้ยอมรับแผนได้รับชำระหนี้มากกว่าในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ล้มละลายหาได้ไม่ เนื่องจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งจดทะเบียนจำนองไว้แก่เจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ยังมีความจำเป็นต่อการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ และมิได้มีการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนี้ เมื่อผู้ทำแผนนำสืบให้รับฟังไม่ได้ว่า เมื่อการดำเนินการตามแผนสำเร็จเจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันจะได้รับชำระหนี้ตามแผนไม่น้อยกว่าราคาทรัพย์สินหลักประกันในราคาตลาดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/58 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบมาตรา 90/14 ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนส่วนนี้มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของเจ้าหนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เห็นชอบด้วยแผนเฉพาะในส่วนข้อเสนอการชำระหนี้ของเจ้าหนี้กลุ่มที่ 2 ในข้อ 4.4.2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลล้มละลายกลางค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share