คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 318/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย แม้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยยังคงต้องถูกบังคับตามคำพิพากษา การที่คดียังไม่ถึงที่สุดไม่ใช่เหตุที่จะนำมานับโทษต่อไม่ได้
จำเลยไม่อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การจากให้การปฏิเสธเป็นรับสารภาพในชั้นฎีกาได้ เพราะการแก้ไขคำให้การต้องกระทำก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา แต่การยื่นคำร้องดังกล่าวถือเป็นการรับข้อเท็จจริงว่ากระทำความผิดโดยไม่โต้แย้งคำพิพากษาลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 2
จำเลยหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยเป็นทนายความ ทำให้โจทก์หลงเชื่อมอบเงินให้จำเลย เป็นการกระทำที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ไม่คำนึงถึงความเสียหายและความเดือดร้อนของผู้อื่น ไม่มีเหตุรอการลงโทษ แต่การนำเงินค่าเสียหายมาวางต่อศาลเพื่อชดใช้แก่โจทก์ เป็นการบรรเทาผลร้ายแห่งคดี ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 7252/2555, 8122/2555 และ 8124/2555 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 4 เดือน นับโทษจำคุกต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 8122/2555 หมายเลขแดงที่ 9765/2556 ส่วนคดีอื่นที่ขอให้นับโทษต่อ ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาจึงให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่า คดีอาญาหมายเลขดำที่ 8122/2555 หมายเลขแดงที่ 9765/2556 ของศาลชั้นต้นยังไม่ถึงที่สุด นับโทษต่อไม่ได้นั้น การนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใดจะต้องปรากฏว่าคดีเรื่องนั้น ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อนแล้ว เมื่อศาลพิพากษาคดีหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนคดีเรื่องก่อนได้ เมื่อปรากฏจากคำฟ้องฎีกาของจำเลยแจ้งชัดแล้วว่าคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลย แม้ว่าคดีดังกล่าวจะยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ซึ่งยังไม่ได้พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ จำเลยยังคงต้องถูกบังคับตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวอยู่ การที่คดียังไม่ถึงที่สุดจึงไม่ใช่เหตุที่จะนำมานับโทษต่อไม่ได้ ฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาจากที่ให้การปฏิเสธเป็นรับสารภาพนั้น จำเลยไม่อาจกระทำได้เพราะการแก้ไขคำให้การจะต้องกระทำก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520 มาตรา 3 แต่อย่างไรก็ดี เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริง โดยไม่โต้แย้งข้อที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น ปรากฏพฤติการณ์ที่จำเลยหลอกลวงโจทก์ว่าตนเองเป็นทนายความ ทำให้โจทก์หลงเชื่อมอบเงินให้จำเลยไป 66,000 บาท เป็นการกระทำที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายและความเดือดร้อนของผู้อื่นพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลย แต่การที่จำเลยนำเงินจำนวน 66,000 บาท มาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นการบรรเทาผลร้ายแห่งคดี ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขโทษให้เหมาะสม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 2 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share