คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างให้ลูกจ้างหยุดพักรับประทานอาหารตั้งแต่เวลา 9-10.30 นาฬิกา โดยไม่ได้กำหนดเวลาแน่นอนว่าลูกจ้างคนใดจะต้องหยุดพักรับประทานอาหารในเวลาใด ต่อมานายจ้างมีคำสั่งกำหนดเวลารับประทานอาหารแก่ลูกจ้างเป็นเวลาแน่นอน โดยแบ่งเป็นกลุ่มกลุ่มละ 30 นาที โดยกำหนดตามเวลาในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว เพื่อเป็นระเบียบในการทำงานโดยไม่ได้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเวลาใหม่ ดังนี้ นายจ้างย่อมมีอำนาจออกคำสั่งให้ลูกจ้างปฏิบัติตามได้ ถือว่าเป็นอำนาจในการบริหาร หาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จะต้องมีการแจ้งข้อเรียกร้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ไม่ ลูกจ้างมีหน้าที่คุมเครื่องปั่นด้าย ได้ละทิ้งหน้าที่ไปรับประทานอาหารก่อนเวลาที่กำหนดเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง โดยไม่มีผู้อื่นมาคุมเครื่องแทน เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยด้ายขาดและพัน เครื่อง ต้องหยุดเครื่องปั่นด้ายเพื่อต่อด้ายใหม่แต่ความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นความเสียหายปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการทำงาน การละทิ้งหน้าที่ของลูกจ้างดังกล่าวจึงไม่ใช่ความผิดร้ายแรง โจทก์ไม่อาจเลิกจ้างได้โดยไม่เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 123(3) คำสั่งเลิกจ้างของโจทก์จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม บทบัญญัติมาตรา 41(4) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 หาได้จำกัดว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะข้อความตอนท้ายบัญญัติให้อำนาจแก่คณะกรรมการสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงมีอำนาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานพร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายด้วยได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 8/2532 ที่สั่งให้โจทก์รับนางสาวแต๋ว สุขศรีใส ลูกจ้างกลับเข้าทำงานและใช้ค่าเสียหายโดยโจทก์อ้างว่า เหตุที่โจทก์เลิกจ้างเนื่องจากนางสาวแต๋วละทิ้งหน้าที่ออกไปรับประทานอาหารก่อนเวลาที่กำหนด ซึ่งโจทก์ได้มีคำสั่งกำหนดให้ลูกจ้างพักโดยกำหนดเวลาพักของลูกจ้างแต่ละคน เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงและพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์มิได้ให้อำนาจแก่จำเลยทั้งสิบสี่ในฐานะคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์สั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานพร้อมทั้งใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสิบสี่ให้การว่า โจทก์เปลี่ยนแปลงเวลาพักรับประทานอาหารของลูกจ้างเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีผลใช้บังคับเพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างโดยไม่ได้ยื่นข้อเรียกร้องและการที่นางสาวแต๋วออกไปรับประทานอาหารก่อนเวลา ไม่เกิดความเสียหายแก่โจทก์อย่างร้ายแรงโจทก์เลิกจ้างไม่ได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ที่ 8/2532
จำเลยทั้งสิบสี่อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสิบสี่อุทธรณ์ว่าคำสั่งของโจทก์ที่กำหนดให้ลูกจ้างออกไปรับประทานอาหารเป็นเวลาแน่นอนเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เป็นโทษแก่ลูกจ้าง แต่โจทก์ไม่ได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 13 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นพิเคราะห์แล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าเดิมโจทก์มีคำสั่งให้ลูกจ้างกะเช้าหยุดรับประทานอาหารตั้งแต่เวลา 9-10.30นาฬิกา โดยไม่ได้กำหนดว่าลูกจ้างคนใดจะต้องหยุดรับประทานอาหารในเวลาใด เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2531 โจทก์ได้กำหนดเวลารับประทานอาหารแก่ลูกจ้างเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 30 นาที และกำหนดให้นางสาวแต๋วรับประทานอาหารเมื่อเวลา 10 นาฬิกาเห็นว่าการกำหนดเวลารับประทานอาหารที่แน่นอนต่อลูกจ้าง โจทก์ได้กำหนดตามเวลาในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม โจทก์ไม่ได้ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเวลาใหม่แต่ได้กำหนดเวลาสำหรับลูกจ้างแต่ละคนให้แน่นอนเพื่อเป็นระเบียบในการทำงาน โจทก์ในฐานะนายจ้างซึ่งเป็นผู้มีอำนาจบังคับบัญชาย่อมออกคำสั่งให้ลูกจ้างปฏิบัติตามได้ ถือว่าเป็นอำนาจในการบริหารหาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จะต้องมีการแจ้งข้อเรียกร้องตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 13 ไม่ คำสั่งของโจทก์ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและมีผลใช้บังคับได้
ประเด็นต่อไปตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสิบสี่มีว่า การเลิกจ้างของโจทก์เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 หรือไม่ ข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาได้ความว่านางสาวแต๋วได้ทราบคำสั่งกำหนดเวลารับประทานอาหารของโจทก์ก่อนแล้วว่าให้ไปรับประทานอาหารเมื่อเวลา 10.00 นาฬิกา นางสาวแต๋วจงใจฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์โดยออกไปรับประทานอาหารเมื่อเวลา 9.30 นาฬิกา นางสาวแต๋วจึงมีความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ ส่วนที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าคดีนี้ไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 123 เพราะคำสั่งของโจทก์ที่ให้ลูกจ้างไปรับประทานอาหารเป็นเวลาที่แน่นอน ไม่ใช่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องและมีผลใช้บังคับอยู่นั้น เห็นว่า กรณีจะต้องบังคับตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 123 หรือไม่ไม่ได้พิจารณาเฉพาะคำสั่งหรือข้อบังคับที่ลูกจ้างฝ่าฝืนเท่านั้นแต่จะต้องพิจารณาว่าในสถานประกอบกิจการนั้นได้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องใช้บังคับอยู่หรือไม่ได้ความว่าจำเลยทั้งสิบสี่วินิจฉัยว่าโจทก์ได้เลิกจ้างนางสาวแต๋วในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ และนางสาวแต๋วเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องเห็นว่าตามเอกสารหมาย จ.6 ที่โจทก์อ้างส่งศาลเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์กับสหภาพแรงงานทรงชัยปั่นทอ ซึ่งสหภาพแรงงานทรงชัยปั่นทอได้ยื่นข้อเรียกร้องเมื่อวันที่ 1 เมษายน2531 ข้อตกลงมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2531 เป็นต้นไปไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุด ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนี้มีผลใช้บังคับมีกำหนด 1 ปี ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา12 วรรคหนึ่ง ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จ.6จึงมีผลใช้บังคับถึงวันที่ 6 เมษายน 2532 โจทก์ให้เลิกจ้างนางสาวแต๋วเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2531 จึงอยู่ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับ คำสั่งที่ 8/2532 ของจำเลยเอกสารหมาย จ.2 ยังวินิจฉัยว่านางสาวแต๋วเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานทรงชัยปั่นทอเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2531 และเป็นกรรมการสหภาพแรงงานฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ด้วย จึงฟังได้ว่านางสาวแต๋วเป็นลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องในขณะที่ถูกเลิกจ้าง กรณีจึงต้องด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 123 ซึ่งบัญญัติห้ามเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง เว้นแต่ลูกจ้างกระทำความผิดตาม (1) ถึง (5) เมื่อฟังได้ว่านางสาวแต๋วฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ มีปัญหาว่าการฝ่าฝืนเป็นความผิดกรณีร้ายแรงที่โจทก์มีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518มาตรา 123(3) หรือไม่ เห็นว่า การที่นางสาวแต๋วละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ตามปกติไม่ถือว่าเป็นกรณีร้ายแรง แต่การละทิ้งหน้าที่ของนางสาวแต๋วนั้น ได้ละทิ้งการคุมเครื่องจักรโดยไม่มีผู้อื่นมาคุมเครื่องแทนได้ความจากการนำสืบของโจทก์ว่า การกระทำของนางสาวแต๋วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คือ ด้ายขาดแล้วด้ายไปพันลูกหนังและเพลาต้องหยุดเครื่องและแกะเอาด้ายออกใช้เวลาแก้อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง โจทก์หาได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ได้รับความเสียหายร้ายแรงอย่างไร ความเสียหายตามที่โจทก์นำสืบมาคงฟังได้ว่าเป็นความเสียหายปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการทำงานการกระทำของนางสาวแต๋วจึงไม่ใช่ความผิดกรณีร้ายแรง โจทก์ไม่อาจเลิกจ้างได้โดยไม่เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อนตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 123(3) คำสั่งเลิกจ้างของโจทก์จึงเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยทั้งสิบสี่ซึ่งเป็นคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จึงมีอำนาจสั่งให้โจทก์รับนางสาวแต๋วกลับเข้าทำงาน และชดใช้ค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 41(4) และบทบัญญัติดังกล่าวหาได้จำกัดว่าคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์จะมีคำสั่งได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นเพราะมาตรา 41(5) ข้อความตอนท้ายบัญญัติให้อำนาจแก่คณะกรรมการสั่งให้ผู้ฝ่าฝืนปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร คำสั่งที่ 8/2532ของจำเลยทั้งสิบสี่จึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนได้ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

Share