คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12622/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นผู้รับประกันภัยความซื่อสัตย์ของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกจ้างไว้จากโจทก์ผู้เป็นนายจ้างระหว่างปฏิบัติงานจำเลยที่ 1 รับชำระหนี้จากลูกค้าแล้วไม่นำส่งโจทก์และไม่ส่งเงินทดรองคืนโจทก์ เข้าเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ร้องจึงใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ผู้ร้องสามารถเข้ารับช่วงสิทธิของโจทก์เรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนที่ใช้ไปจากจำเลยทั้งสอง (จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์) ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 880 วรรคหนึ่งและมาตรา 226 วรรคหนึ่ง ซึ่งหมายถึงการใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลโดยผู้รับประกันภัยเป็นโจทก์ฟ้องในนามของผู้รับประกันภัยแทนผู้เอาประกันภัย ไม่ใช่การรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยในการบังคับคดี
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 การบังคับคดีเป็นสิทธิของคู่ความฝ่ายชนะคดีหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติรับรองสิทธิให้ผู้รับประกันภัยเข้ารับช่วงสิทธิในการบังคับคดีของผู้เอาประกันภัยได้ ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงเข้ารับช่วงสิทธิในการบังคับคดีตามคำพิพากษาเอาแก่จำเลยทั้งสองไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลแรงงานกลางพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองจ่ายเงินแก่โจทก์ 326,801 บาท โดยผ่อนชำระเป็นงวด งวดละไม่น้อยกว่า 15,000 บาท เริ่มชำระงวดแรกภายในวันที่ 16 เมษายน 2552 และงวดถัดไปภายในวันที่ 16 ของทุกเดือน ชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 16 มีนาคม 2554 โดยจำเลยทั้งสองจะโอนเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใด ให้ถือว่าผิดนัดในหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดและยินยอมให้บังคับคดีได้ทันที พร้อมชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของยอดเงินที่ค้างชำระนับจากวันผิดนัดจนกว่าจะชำระหนี้ทั้งหมดให้โจทก์เสร็จสิ้น
ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้รับประกันภัยความซื่อสัตย์ของพนักงานฝ่ายขายของโจทก์จำนวน 30 คน แต่สำหรับจำเลยที่ 1 จำกัดวงเงินประกัน 200,000 บาท โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองรับผิดชอบกรณีที่พนักงานของผู้เอาประกันภัยก่อการทุจริต ยักยอก โกง หรือเบียดบังเอาเงินของผู้ว่าจ้าง มูลหนี้ตามฟ้องข้อ 3.1 และ 3.3 เข้าเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ที่ผู้ร้องจะต้องรับผิดชอบต่อโจทก์และได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 200,000 บาท แก่โจทก์แล้ว หลังจากที่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ผู้ร้องจึงมีอำนาจเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์เพื่อบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระเงินที่ผู้ร้องจ่ายแก่โจทก์ไป ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ในเงินค่าสินไหมทดแทน 200,000 บาท เพื่อบังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินดังกล่าวแก่ผู้ร้องต่อไป
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า กรณีตามคำร้องไม่มีกฎหมายบัญญัติรองรับสิทธิของผู้ร้องให้กระทำได้ ทั้งผู้ร้องไม่ใช่คู่ความในคดีที่มีสิทธิในการบังคับคดี จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ผู้ร้องเข้ารับช่วงสิทธิโจทก์ในการบังคับคดีตามคำพิพากษาเอาแก่จำเลยทั้งสองได้หรือไม่ ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องเข้ารับช่วงสิทธิและสวมสิทธิแทนโจทก์ โดยมีบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่ง และมาตรา 226 วรรคหนึ่ง รองรับ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้าความวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกไซร้ ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด ผู้รับประกันภัยย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อบุคคลภายนอกเพียงนั้นและมาตรา 226 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้รวมทั้งประกันแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ตามคำร้องของผู้ร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้รับประกันภัยความซื่อสัตย์ของจำเลยที่ 1 ไว้จากโจทก์ ระหว่างปฏิบัติงานจำเลยที่ 1 รับชำระหนี้จากลูกค้าแล้ว ไม่นำมาส่งมอบแก่โจทก์และไม่ส่งเงินทดรองคืนแก่โจทก์ เป็นกรณีที่เข้าเงื่อนไขความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย ผู้ร้องจึงใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ไป ทำให้ผู้ร้องสามารถเข้ารับช่วงสิทธิของโจทก์เรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนที่ใช้ไปจากจำเลยทั้งสองได้ตามบทบัญญัติข้างต้นก็ตาม แต่การบังคับคดีเอาแก่คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 บัญญัติให้เป็นสิทธิของคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น ผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกจึงไม่มีสิทธิตามบทกฎหมายดังกล่าว ทั้งกรณีที่ผู้รับประกันภัยจะเข้ารับช่วงสิทธิและใช้สิทธิของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 และมาตรา 226 นั้น หมายถึงการใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลโดยผู้รับประกันภัยเป็นโจทก์ฟ้องในนามของผู้รับประกันภัยแทนผู้เอาประกันภัย มิใช่เข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยในการบังคับคดี ซึ่งเป็นสิทธิที่กฎหมายกำหนดให้เป็นสิทธิแก่คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามาแล้ว เมื่อไม่มีกฎหมายใดบัญญัติรองรับสิทธิให้ผู้รับประกันภัยเข้ารับช่วงสิทธิในการบังคับคดีของผู้เอาประกันภัยได้เช่นนี้ ผู้ร้องจึงเข้ารับช่วงสิทธิโจทก์ในการบังคับคดีตามคำพิพากษาเอาแก่จำเลยทั้งสองไม่ได้ ที่ศาลแรงงานกลางยกคำร้องของผู้ร้องนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share