แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คดีตามฟ้องแย้งของจำเลยและคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 312/2548 ของศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ก็ไม่มีผลทำให้คดีนี้ซึ่งไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและคู่ความยังโต้แย้งกันอยู่ว่าเหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของฝ่ายใด ต้องรับฟังข้อเท็จจริงยุติไปตามคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
ย่อยาว
คดีนี้ เดิมศาลชั้นต้นสั่งให้รวมการพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 312/2548 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 649,688 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 630,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งบังคับโจทก์ชำระเงิน 39,476 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 36,610 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 630,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2546 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 3 มิถุนายน 2547)ไม่ให้เกิน 19,668 บาท ตามที่โจทก์ขอ ยกฟ้องแย้งของจำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 560,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2546 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกอุทธรณ์ของจำเลยสำหรับฟ้องแย้ง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์สำหรับฟ้องแย้งแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน วส 8062 กรุงเทพมหานคร จากนางสาวรติกร จำเลยขับรถกระบะหมายเลขทะเบียน น – 2532 ตาก เฉี่ยวชนกับรถที่โจทก์รับประกันภัยรถที่โจทก์รับประกันภัยพลิกคว่ำได้รับความเสียหายตามภาพถ่ายหมาย ส่วนรถของจำเลยได้รับความเสียหายตามภาพถ่าย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเลินเล่อ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า คดีในส่วนฟ้องแย้งและคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 312/2548 ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยฟ้องนางสาวรติกรให้ชดใช้ค่าเสียหายจากเหตุรถเฉี่ยวชนกันที่รวมการพิจารณาต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่รับวินิจฉัย ส่วนคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีตามฟ้องของโจทก์แม้จะไม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แต่การวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยว่าเหตุรถชนกันไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลย ต้องอาศัยข้อเท็จจริงอันเดียวกันกับฟ้องแย้งของจำเลยและคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 312/2548 ของศาลชั้นต้น กรณีต้องถือว่าข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในฟ้องแย้งและคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 312/2548 ของศาลชั้นต้นซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้นมีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ข้อเท็จจริงคดีนี้ในเรื่องเดียวกันเป็นอย่างอื่นได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 รับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า การพิจารณาในชั้นอุทธรณ์ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อตามคดีในส่วนฟ้องแย้งและคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 312/2548 ของศาลชั้นต้นซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเนื่องจากต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีตามฟ้องแย้งของจำเลยและคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 312/2548 ของศาลชั้นต้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ก็ไม่มีผลทำให้คดีนี้ซึ่งไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและคู่ความยังโต้แย้งกันอยู่ว่าเหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของฝ่ายใด ต้องรับฟังข้อเท็จจริงยุติไปตามคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
อนึ่ง จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์ ทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาจึงมีเพียง 560,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2546 ถึงวันฟ้อง ตามที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาล 14,542.50 บาท แต่จำเลยเสียมา 16,242.50 บาท เกินมา 1,700 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่จำเลย
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมา 1,700 บาท ให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ