แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกร่วมกันฉุดคร่าผู้เสียหายเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่จะทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา ขณะที่การกระทำผิดฐานฉุดคร่ายังไม่สำเร็จ บิดาของผู้เสียหายวิ่งติดตามไปเพื่อขัดขวาง จำเลยสั่งให้พวกของจำเลยให้ช้อาวุธปืนยิงบิดาผู้เสียหายถึงแก่ความตาย ดังนี้ จำเลยผิดฐานร่วมเป็นตัวการฆ่าเพื่อให้เป็นความสะดวกในการที่จำเลยกับพวกจะทำการฉุดคร่าผู้เสียหายและเพื่อจำเลยจะได้ตัวผู้เสียหายไว้เพื่อทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราอันเป็นผลประโยชน์อันเกิดแต่การกระทำผิดตามมาตรา 289(6) และ(7).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกมีอาวุธปืนสั้น บังอาจร่วมกันฉุดคร่านางสาวสำเนียงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายและข่มขืนใจนายอยู่บิดานางสาวสำเนียงติดตามไปเพื่อช่วยเหลือนางสาวสำเนียงกลับคืนมา จำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายอยู่ ๑ นัด โดยเจตนาจะฆ่าอยู่และเพื่อความสะดวกในการที่จำเลยกับพวกจะพานางสาวสำเนียงไปเพื่อการอนาจารและเพื่อยึดตัวนางสาวสำเนียงไว้เป็นผลประโยชน์แก่ตน กระสุนปืนถูกนายอยู่ นายอยู่ตายในวันต่อมา และเวลาต่อเนื่องกันจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสำเนียง ๒ ครั้ง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖,๒๘๔,๒๘๘,๒๘๙,๘๓
จำเลยให้การต่อสู้ว่า นางสาวสำเนียงสมัครใจตามจำเลยไป ต่อมาจำเลยได้กระทำชำเรานางสาวสำเนียง ๑ ครั้ง โดยนางสาวสำเนียงยินยอม
นางแย้มภริยาผู้ตายและนางสาวสำเนียงเข้าเป็นโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖,๒๘๔,๒๘๘,๘๓ ให้วางโทษตามมาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด ให้ประหารชีวิต ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๗๘ ประกอบด้วยมาตรา ๕๒(๑) คงจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด ๒๐ ปี
พนักงานอัยการโจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๙(๖) และ (๗) ด้วย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยได้ฉุดคร่านางสาวสำเนียงไปจริง และจำเลยเป็นผู้ร้องสั่งว่าใครเข้ามาให้ยิงเลย การกระทำของจำเลยกับพวกร่วมมือกันตลอดมา ย่อมเป็นตัวการฆ่านายอยู่ด้วยกัน และฟังได้ว่าจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสำเนียง ที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๙(๖) และ (๗) เห็นว่า การใช้กำลังพาหญิงไปเพื่อการอนาจารเป็นความผิดอยู่ตลอดเวลาที่ยังพาไป นายหงพวกจำเลยยิงนายอยู่ขณะจำเลยกับพวกใช้กำลังพาหญิงไปจึงเป็นความผิดตามมาตรา ๒๘๙(๖) และการที่จำเลยได้ตัวนางสาวสำเนียงไว้ ก็เป็นการเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์ จึงเป็นความผิดตามมาตรา ๒๘๙(๗) ด้วย พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖,๒๘๔,๒๘๙(๖) และ (๗) ให้วางโทษตามมาตรา ๒๘๙(๖) และ (๗) ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด นอกนั้นยื่น
จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า จำเลยกับพวกฉุดคร่านางสาวสำเนียงผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร และจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสำเนียง ๒ ครั้ง ชอบแล้ว ปัญหาว่า การกระทำของจำเลยจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๙(๖) และ (๗) หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมมือกันทำการฉุดคร่านางสาวสำเนียงไปเพื่อประโยชน์ของจำเลย ที่จะทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา นังว่าจำเลยเป็นตัวการสำคัญขณะที่การกระทำผิดฐานฉุดคร่ายังไม่สำเร็จ เพราะมีนายอยู่วิ่งติดตามไปเพื่อขัดขวางจำเลยสั่งให้พวกของจำเลยยิง นายหงพวกของจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงนายอยู่ถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันกับพวกเป็นตัวการฆ่านายอยู่ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นความสะดวกในการที่จำเลยกับพวกจะทำการฉุดคร่านางสาวสำเนียงและเพื่อจำเลยจะได้ตัวนางสาวสำเนียงไว้เพื่อทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา อันเป็นผลประโยชน์อันเกิดแต่การกระทำผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๙(๖) และ (๗) พิพากษายืน.