คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2955/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาแบ่งส่วนกำไรจากการให้บริการดาวน์โหลดเสียงเพลงริงโทนผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ และมีคำขอให้บังคับจำเลยทั้งหกชำระส่วนแบ่งกำไรโดยอ้างว่า จำเลยทั้งหกผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลงในหนังสือดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยทั้งหกฟ้องแย้งโดยบรรยายฟ้องแย้งว่า โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 ให้สร้างพัฒนาออกแบบ ควบคุมดูแลบริหารจัดการ และทำการตลาดข้อมูลดิจิตอล ข้อมูลทางธุรกิจลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาของโจทก์และบริษัทในเครือผ่านสื่อมัลติมีเดีย ตามสัญญาจ้างพัฒนาธุรกิจ แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าจ้างตามสัญญาพัฒนาธุรกิจดังกล่าว ขอให้บังคับโจทก์ชำระหนี้ค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 เมื่อสัญญาพัฒนาธุรกิจที่จำเลยทั้งหกอ้างมีเนื้อหาเป็นคนละส่วนกับสัญญาแบ่งส่วนกำไรที่โจทก์ฟ้อง แม้ว่าสัญญาแบ่งส่วนกำไรจะมีที่มาจากสัญญาพัฒนาธุรกิจ แต่สาระสำคัญของเนื้อหาแตกต่างเป็นคนละเรื่องกัน ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งหกจึงเป็นคนละเรื่องกับคำฟ้องโจทก์ ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ชอบที่จำเลยทั้งหกจะฟ้องเป็นคดีใหม่ต่างหาก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งหกชำระเงิน 2,448,009.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้สูงสุดนับแต่วันผิดสัญญาและชดใช้ค่าเสียหายจากการขาดกำไรและรายได้ในธุรกิจของโจทก์
จำเลยทั้งหกให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชำระเงินค่าจ้างในการบริหารจัดการตามสัญญาจ้างพัฒนาธุรกิจรวมภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 15,231,706.80 บาท เมื่อนำเงินจำนวนดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่โจทก์ฟ้องแล้ว โจทก์ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือ 12,783,697.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 15,231,706.80 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ชำระเงินค่าส่วนแบ่งรายได้ตามฟ้องแย้ง 12,783,697.51 บาท แก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องแย้ง (ฟ้องแย้งวันที่ 21 กันยายน 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมดและค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งแทนจำเลยทั้งหก โดยกำหนดค่าทนายความให้ 100,000 บาท คำขออื่นตามฟ้องแย้งนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 2,448,009.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,287,859.15 บาท นับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 10 กรกฎาคม 2548 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 50,000 บาท ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งหก คืนค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้งแก่จำเลยทั้งหก
จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งหกว่า ฟ้องแย้งเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาแบ่งส่วนกำไรจากการให้บริการดาวน์โหลดเสียงเพลงริงโทนผ่านโทรศัพท์มือถือในโครงการ EZ Partner และมีคำขอให้บังคับจำเลยทั้งหกชำระส่วนแบ่งกำไรเป็นเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 2,448,009.29 บาท โดยอ้างว่า จำเลยทั้งหกผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ตามข้อตกลงในหนังสือดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยทั้งหกฟ้องแย้งโดยบรรยายฟ้องแย้งว่า โจทก์ทำสัญญาจ้างให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 สร้างพัฒนาออกแบบ ควบคุมดูแลบริหารจัดการและทำการตลาดข้อมูลดิจิตอล ข้อมูลทางธุรกิจลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญาของโจทก์และบริษัทในเครือผ่านสื่อมัลติมีเดียตามสัญญาจ้างพัฒนาธุรกิจ แล้วผิดสัญญาไม่ชำระค่าจ้างตามสัญญาพัฒนาธุรกิจดังกล่าว ขอให้บังคับโจทก์ชำระหนี้ค่าจ้าง เป็นเงินรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 15,231,706.80 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 6 เห็นว่า สัญญาพัฒนาธุรกิจที่จำเลยทั้งหกอ้างว่าทำขึ้นในวันที่ 7 มิถุนายน 2547 มีเนื้อหาเป็นคนละส่วนกับสัญญาแบ่งส่วนกำไรฯ ที่ทำขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม 2547 ที่โจทก์ฟ้อง แม้ว่าจะมีที่มาจากตามที่จำเลยทั้งหกฎีกาก็ตาม แต่สาระสำคัญของเนื้อหาแตกต่างเป็นคนละเรื่องกัน ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งหกจึงเป็นคนละเรื่องกับฟ้องโจทก์ ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ชอบที่จำเลยทั้งหกจะฟ้องเป็นคดีใหม่ต่างหาก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และที่จำเลยทั้งหกฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยนั้น เห็นว่า แม้โจทก์มิได้ให้การแก้ฟ้องแย้งในส่วนนี้ก็ตาม แต่ปัญหาว่า ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งไว้พิจารณาและพิพากษาเป็นกระบวนพิจารณาที่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์มีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อโจทก์อุทธรณ์ประเด็นนี้ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจวินิจฉัยได้ ฎีกาของจำเลยทั้งหกทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้จำเลยทั้งหกฎีกาขอให้รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งหกไว้พิจารณาแม้จะฎีกาขอให้จำเลยทั้งหกชนะคดีตามฟ้องแย้งมาด้วยในฉบับเดียวกันก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งหกไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับฟ้องแย้งนั้นชอบแล้ว โดยมิได้ก้าวล่วงวินิจฉัยปัญหาตามฟ้องแย้ง ฎีกาของจำเลยทั้งหกจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งตามตาราง 1 (2) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกำหนดให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท และคดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดในหนี้ตามฟ้องโจทก์แล้วหักกลบกับจำนวนหนี้ที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยที่ 1 ตามฟ้องแย้งซึ่งมีจำนวนมากกว่า โดยพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้ส่วนที่เหลือแก่จำเลยที่ 1 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ในหนี้ตามฟ้องเดิม จำเลยทั้งหกไม่อุทธรณ์ ทั้งมิได้แก้อุทธรณ์ในประเด็นหนี้ตามฟ้องเดิมไว้ หนี้ตามฟ้องเดิมจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนั้น ที่จำเลยทั้งหกเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนฟ้องแย้งอย่างคดีมีทุนทรัพย์ และเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนฟ้องเดิมมาด้วย จึงไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ ที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไม่รับฟ้องแย้งและให้คืนค่าขึ้นศาลสำหรับฟ้องแย้งในศาลชั้นต้นแก่จำเลยทั้งหกโดยมิได้มีคำสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท ให้แก่โจทก์ย่อมเป็นการไม่ชอบเช่นกัน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา 265,420 บาท แก่จำเลยทั้งหกและคืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 199,800 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share