คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13195/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ร่วมมีส่วนก่อเหตุให้จำเลยกระทำความผิด โจทก์ร่วมจึงไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ที่จะมีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์และไม่อาจใช้สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 44/1 ในคดีนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371, 33, 80, 91 และริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ระหว่างพิจารณา นายประเสริฐ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต (ที่ถูก อนุญาตเฉพาะข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น) และยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เนื่องจากการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ร่วมไม่สามารถใช้มือทั้งสองข้างทำงานได้ตามปกติ ทำให้ขาดรายได้ซึ่งเคยได้วันละ 200 บาทนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าโจทก์ร่วมมีอายุครบ 60 ปี ซึ่งโจทก์ร่วมขอเรียกร้องเป็นเงิน 500,000 บาท
จำเลยไม่ยื่นคำให้การในคดีส่วนแพ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 72, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น (ที่ถูก ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ) จำคุก 2 ปีฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 100 บาทรวมจำคุก 2 ปี และปรับ 100 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ริบของกลาง กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 100,000 บาท
โจทก์ร่วมและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้อาวุธมีดดาบปลายตัดใบมีดยาว 55 เซนติเมตร ฟันโจทก์ร่วมหลายครั้งเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส ข้อมือขวาเกือบขาด เส้นเอ็น เส้นประสาทขาดกระดูกหัก กระดูกแขนซ้ายหัก และเส้นเอ็นขาด ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์สำหรับความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร โจทก์และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์ ความผิดฐานดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ร่วมว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะหรือไม่ พฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุผลน่าเชื่อว่า ก่อนเกิดเหตุ โจทก์ร่วมถือขวานเข้าไปหาเรื่องจำเลยที่บ้านของนายวงเดือนแล้วครั้งหนึ่ง แต่นางอำพันเข้าไปกันไว้ในลักษณะห้ามปราม โจทก์ร่วมจึงเดินกลับบ้านไป แล้วกลับมาอีกครั้งโดยยังคงถือขวานมาด้วยและเงื้อขวานดังกล่าวจะฟันประทุษร้ายจำเลย พฤติกรรมของโจทก์ร่วมดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ร่วมข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยนำอาวุธมีดของกลางออกมาฟันโจทก์ร่วมซึ่งยังคงอยู่บริเวณหน้าบ้านของนายวงเดือนในช่วงเวลาที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงกันอยู่จึงเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ร่วมมีส่วนก่อเหตุให้จำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ โจทก์ร่วมจึงไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2 (4) ที่จะมีอำนาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ และไม่อาจใช้สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 44/1 ในคดีนี้ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share