แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1374 โจทก์ผู้ครอบครองที่ดินพิพาทจะต้องถูกรบกวนโดยการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากฝ่ายจำเลย การที่ฝ่ายจำเลยเพียงแต่ไปขอออกโฉนดที่ดินพิพาทยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ที่โจทก์จะต้องฟ้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินภายใน 1 ปี นับแต่วันออกโฉนดที่ดิน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายเลี่ยวฟัด กับนายเลี่ยวเงี่ยน เป็นบุตรของนายเลียวถ่ำกับนางหลีเปี้ยงหรือลี่เปียง เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2520 นางหลีเปี้ยงประสงค์จะยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ตามใบแจ้งการครอบครองเลขที่ 99 หมู่ที่ 3 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 58 ไร่ 31.1 ตารางวา ให้แก่บุตรทั้งสองคนละครึ่ง โดยให้นายเลี่ยวฟัดได้สิทธิครอบครองที่ดินทางด้านทิศตะวันออก ส่วนนายเลี่ยวเงี่ยนได้สิทธิครอบครองที่ดินทางด้านทิศตะวันตก แต่เนื่องจากนายเลี่ยวฟัดเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน นางหลีเปี้ยงจึงจดทะเบียนยกที่ดินให้มีชื่อนายเลี่ยวเงี่ยนแต่เพียงผู้เดียว จากนั้นทั้งนายเลี่ยวฟัดและนายเลี่ยวเงี่ยนต่างก็ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนของตนคิดเป็นเนื้อที่ประมาณคนละ 25 ไร่ แยกเป็นส่วนสัดโดยสงบเปิดเผยตั้งแต่เดือนกันยายน 2520 เป็นต้นมา ต่อมาปี 2523 นายเลี่ยวฟัดบิดาโจทก์ได้ยกที่ดินส่วนของนายเลี่ยวฟัดให้แก่โจทก์ จากนั้นโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ด้วยการปลูกสวนยางพาราเต็มพื้นที่ โจทก์เจรจาขอให้นายเลี่ยวเงี่ยนแบ่งแยกที่ดินส่วนที่โจทก์มีสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ แต่นายเลี่ยวเงี่ยนขอผัดผ่อนเรื่อยมา ต่อมานายเลี่ยวเงี่ยนได้นำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ดังกล่าว ไปขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 84453 ถึง 84454 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 75 ตารางวา และเนื้อที่ 39 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา ตามลำดับ โดยมีนายเลี่ยวเงี่ยนเป็นผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงทับที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่สุจริต เมื่อโจทก์ทราบจึงเจรจาให้นายเลี่ยวเงี่ยนแบ่งแยกที่ดินตามที่ต่างฝ่ายต่างครอบครองทำประโยชน์อยู่ให้ถูกต้อง แต่นายเลี่ยวเงี่ยนเพิกเฉยจนกระทั่งถึงแก่ความตายเมื่อต้นเดือนมกราคม 2545 โจทก์จึงมอบให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยทั้งเจ็คในฐานะทายาทโดยธรรมของนายเลี่ยวเงี่ยน ให้ไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินส่วนที่โจทก์มีสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งเจ็ดเพิกเฉย ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 84453 และ 84454 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาและเพิกถอนชื่อนายเลี่ยวเงี่ยนออกจากทะเบียนโฉนดที่ดินดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ให้การว่า เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2520 นายหลีเปี้ยงหรือ ลี่เปียง ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอหาดใหญ่ ยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ตามใบแจ้งการครอบครอง เลขที่ 99 หมู่ที่ 3 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 58 ไร่ 31 ตารางวาเศษ ให้แก่นายเลี่ยวเงี่ยน บิดาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 ที่ 6 แต่เพียงผู้เดียว ไม่เคยแสดงเจตนาหรือแจ้งต่อนายเลี่ยวเงี่ยนว่ายกที่ดินให้แก่นายเลี่ยวเงี่ยนกับนายเลี่ยวฟัดบิดาโจทก์คนละครึ่งแต่อย่างใด หลังจากได้รับการยกให้ แล้วนายเลี่ยวเงี่ยนได้ครอบครองทำประโยชน์ด้วยการปลูกยางพาราเต็มพื้นที่ โดยไม่เคยแสดงเจตนาสละการครอบครองแต่ได้แบ่งปันพื้นที่ให้พี่น้องทำกินเท่านั้น นายเลี่ยวเงี่ยนเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ในนามของตนเองตลอดมา ต่อมาปี 2539 นายเลี่ยวเงี่ยนยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสงขลาเพื่อออกโฉนดที่ดินโดยเปิดเผย และนำเจ้าพนักงานที่ดินออกสำรวจพื้นที่เพื่อรังวัดที่ดิน ซึ่งโจทก์และบิดาโจทก์ก็รับรู้มิได้โต้แย้งหรือคัดค้านจนเจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้แก่นายเลี่ยวเงี่ยน และก่อนนายเลี่ยวเงี่ยนจะถึงแก่ความตายได้ทำพินัยกรรมแยกที่ดินดังกล่าวให้แก่นางสาวนิตยา จำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์และนายเลี่ยวฟัดบิดาโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองหรือทำประโยชน์หรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 7 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 84453 และ 84454 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 75 ตารางวา และเนื้อที่ 39 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา ตามลำดับ ซึ่งมีชื่อนายเลี่ยวเงี่ยน เป็นเจ้าของ กับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนจำเลยที่ 7 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 7 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 84453 และ 84454 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เฉพาะส่วนที่ทับที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครองครึ่งหนึ่งทางด้านทิศตะวันออก ตามแผนที่ในสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.7 ส่วนที่ระบายด้วยสีเหลือง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังได้ว่านางหลีเปี้ยงหรือลี่เปียง เป็นมารดาของนายเลี่ยวฟัด และนายเลี่ยวเงี่ยน โจทก์เป็นบุตรของนายเลี่ยวฟัด จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นบุตรของนายเลี่ยวเงี่ยนส่วนจำเลยที่ 7 เป็นบุตรของนายเลี่ยวฟัดและเป็นบุตรบุญธรรมของนายเลี่ยวเงี่ยนเดิมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ตามใบแจ้งครอบครองเลขที่ 99 หมู่ที่ 3 ตำบลตะพง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตามเอกสารหมาย จ.4 มีชื่อนางหลีเปี้ยง เป็นผู้มีสิทธิ์ครอบครอง เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2520 นางหลีเปี้ยงจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่นายเลี่ยวเงี่ยน ต่อมาปี 2538 นายเลี่ยวเงี่ยนมอบอำนาจให้จำเลยที่ 7 ไปดำเนินการขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 84453 และ 84454 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 75 ตารางวา และ 39 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา ตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 หรือ จ.7 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 7 โจทก์ไม่อุทธรณ์ ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 6 ก็ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนั้น คดีสำหรับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาล่วงเลยเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายไว้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงเป็นยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประการแรกว่า นางหลีเปี้ยงยกที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 84453 และ 84454 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 75 ตารางวา และ 39 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา ตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 หรือ จ.7 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้ให้แก่นายเลี่ยวเงี่ยนบิดาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 แต่เพียงผู้เดียวหรือไม่… ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นางหลีเปี้ยงยกที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เอกสารหมาย จ.4 ให้แก่นายเลี่ยวฟัดและนายเลี่ยวเงี่ยนคนละครึ่ง โดยนายเลี่ยวฟัดได้ที่ดินทางด้านทิศตะวันออกเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ ตามสำเนาโฉนดที่ดินส่วนที่ระบายไว้ด้วยสีเหลืองเอกสารหมาย จ.7 ส่วนนายเลี่ยวเงี่ยนได้ทางด้านทิศตะวันตกตามสำเนาโฉนดที่ดินส่วนที่ไม่ได้ระบายสีเอกสารหมาย จ.7 หลังจากได้รับการยกให้นายเลี่ยวฟัดเข้าทำประโยชน์โดยทำสวนยางพารา ต่อมาปี 2523 นายเลี่ยวฟัดยกที่ดินพิพาทโจทก์ หลังจากนั้นโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ทำสวนยางพารา โดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมาถึงปัจจุบัน การให้ที่ดินพิพาทระหว่างนางหลีเปี้ยงกับนายเลี่ยวฟัดบิดาโจทก์ แม้ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะไม่สมบูรณ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ก็ตาม แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่มีเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เป็นหลักฐาน เจ้าของที่ดินจึงมีเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น เมื่อนางหลีเปี้ยงได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นายเลี่ยวฟัดบิดาโจทก์ถือว่านางหลีเปี้ยงได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นายเลี่ยวฟัดบิดาโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 แล้ว เมื่อโจทก์ได้เข้าครอบครองโดยนายเลี่ยวฟัดบิดาโจทก์ยกให้ โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 ตั้งแต่ปี 2523 การที่นายเลี่ยวเงี่ยนบิดาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 นำที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์มีสิทธิครอบครองไปขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 84453 และ 84454 ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 10 ไร่ 1 งาน 75 ตารางวา และ 39 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวา ตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 หรือ จ.7 โดยโจทก์ไม่ทราบเรื่องและนายเลี่ยวเงี่ยนมิได้บอกให้โจทก์ทราบ ถึงกระนั้นโจทก์ก็ยังคงครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบัน การที่นายเลี่ยวเงี่ยนไปขอออกโฉนดที่ดินดังกล่าวโดยรวมเอาที่ดินพิพาทเข้าไปด้วยนั้น หาเป็นเหตุให้สิทธิครอบครองของโจทก์เหนือที่ดินพิพาทที่มีอยู่แล้วโดยสมบูรณ์เสียไปไม่ เมื่อในขณะออกโฉนดที่ดินนายเลี่ยวเงี่ยนไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจึงเป็นการออกโฉนดที่ดินให้นายเลี่ยวเงี่ยนโดยไม่ชอบ นายเลี่ยวเงี่ยนจึงไม่ได้กรรมสิทธิในที่ดินพิพาทนายเลี่ยวเงี่ยนย่อมไม่มีสิทธิที่จะนำที่ดินพิพาทไปทำพินิจกรรมยกให้แก่ทายาทของตน ศาลจึงชอบที่จะสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินพิพาทในส่วนที่ออกโดยไม่ถูกต้องได้ แม้นายเลี่ยวเงี่ยนบิดาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดที่ดินเลขที่ 84453 และ 84454 ตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 หรือ จ.7 อันเป็นเอกสารสิทธิซึ่งเป็นเอกสารมหาชน ย่อมสันนิษฐานไว้ก่อนว่า นายเลี่ยวเงี่ยนบิดาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างสามารถนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวได้ตามหน้าที่นำสืบของโจทก์ จึงนำพยานหลักฐานโจทก์มารับฟังให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีได้ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การขอออกโฉนดที่ดินของนายเลี่ยวเงี่ยนบิดาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นไปโดยชอบ และนางหลีเปี้ยงยกที่ดินพิพาทให้นายเลี่ยวเงี่ยนบิดาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เพียงผู้เดียวนั้น จึงฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในประการต่อมา การที่นายเลี่ยวเงี่ยนขอออกโฉนดที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.7 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2539 ถือเป็นการรบกวนสิทธิครอบครอง โจทก์มิได้ฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองที่ดินภายใน 1 ปี นับแต่วันออกโฉนดที่ดินซึ่งเป็นเวลาที่ถูกรบกวนนั้น เห็นว่า การฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374 นั้น โจทก์ผู้ครอบครองที่ดินพิพาทจะต้องถูกรบกวนโดยการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากฝ่ายจำเลย การที่นายเลี่ยวเงี่ยนเพียงแต่ไปขอออกโฉนดที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.7 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2539 นั้น ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น เช่นกัน ส่วนฎีกาประการอื่นของจำเลยที่ 1 ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 8,000 บาท แทนโจทก์