คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9692/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โฉนดที่ดินมีชื่อ บ. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่เพีงผู้เดียวโจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างร่วมกับ บ. บ. ยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ ท. ทั้งแปลงโดยไม่ชอบ และ ท. นำไปขายฝากกับจำเลยแล้วไม่ไถ่ถอน ทำให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตกเป็นสิทธิขาดแก่จำเลย แต่โจทก์ฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์จากจำเลยกึ่งหนึ่งโดยมิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนให้ระหว่าง บ. กับ ท. เท่ากับว่าการโอนดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย เมื่อการโอนชอบ ท. ย่อมมีสิทธินำไปขายฝากให้แก่จำเลยได้ จำเลยจึงรับซื้อไว้โดยชอบ คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงไม่สามารถบังคับให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนายบุญส่ง อยู่กินฉันสามีภริยากันตั้งแต่ปี 2505 ต่อมาวันที่ 20 เมษายน 2527 โจทก์กับนายบุญส่งจดทะเบียนสมรสกัน มีลูกด้วยกัน 5 คน โจทก์กับนายบุญส่งร่วมกันประกอบอาชีพทำไร่ และรวบรวมเงินซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จากนายผัน ให้นายบุญส่งมีชื่อใน น.ส.3 เพียงผู้เดียว ต่อมานายบุญส่งยื่นคำร้องขอออกโฉนดที่ดิน เจ้าพนักงานออกโฉนดที่ดินเลขที่ 39920 ตำบลนาวังหิน อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ระบุชื่อนายบุญส่งเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ นายบุญส่งยกที่ดินดังกล่าวโดยจดทะเบียนให้นางสาวทัศนีย์ บุตรของโจทก์กับนายบุญส่ง นางสาวทัศนีย์นำที่ดินไปจดทะเบียนขายฝากไว้กับจำเลย ครบกำหนดไถ่ถอนการขายฝากแล้ว นางสาวทัศนีย์ไม่ไถ่ถอนและไม่เคยบอกให้โจทก์ทราบ ขอให้จำเลยคืนที่ดินแก่โจทก์ จำนวน 8 ไร่ 28 ตารางวา หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงินไร่ละ 120,000 บาท รวมเป็นเงิน 968,400 บาท
จำเลยให้การว่า นางสาวทัศนีย์นำที่ดินมาจดทะเบียนขายฝากไว้กับจำเลย จำเลยรับซื้อไว้โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนกำหนด 1 ปีแล้ว นางสาวทัศนีย์ขอเลื่อนระยะเวลาไถ่ถอนการขายฝากไปอีก 1 เดือน เมื่อครบกำหนดแล้ว ไม่สามารถหาเงินมาไถ่ถอนการขายฝากได้จึงหมดสิทธิไถ่ถอน โจทก์ทราบและรู้เห็นในการที่นายบุญส่งจดทะเบียนยกที่ดินให้นางสาวทัศนีย์ โจทก์มิได้คัดค้าน ที่ดินเป็นของนายบุญส่งแต่เพียงผู้เดียว โจทก์มิได้มีส่วนร่วมในการซื้อแต่อย่างใด ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์อย่างไร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย ให้กำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์และนายบุญส่งเป็นสามีภริยากันโดยมิได้จดทะเบียนสมรสตั้งแต่ปี 2505 มีลูกด้วยกัน 5 คน รวมทั้งนางสาวทัศนีย์ด้วย ต่อมาวันที่ 20 เมษายน 2527 จึงจดทะเบียนสมรสกัน วันที่ 23 มิถุนายน 2513 โจทก์และนายบุญส่งร่วมกันซื้อที่ดินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในตำบลนาวังหิน อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 16 ไร่ 68 ตารางวา ต่อมานายบุญส่งได้นำไปขอออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 39920 ตำบลนาวังหิน อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ยังคงใส่ชื่อนายบุญส่งคนเดียว โจทก์มีชื่อเป็นภริยาในบ้านเลขที่ 57 หมู่ที่ 6 ตำบลนาวังหิน อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าวรวมทั้งนางสาวทัศนีย์ วันที่ 11 มกราคม 2526 โจทก์ย้ายทะเบียนบ้านไปอยู่ที่อื่น วันที่ 14 กรกฎาคม 2540 นายบุญส่งนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้กับนางอรุณีย์ วันที่ 8 ตุลาคม 2540 นายบุญส่งยกที่ดินพิพาทให้นางสาวทัศนีย์ ซึ่งในการทำนิติกรรมทั้งสองครั้งนายบุญส่งระบุฐานะว่าเป็นหม้ายเพราะหย่าร้างนางสาวทัศนีย์นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนขายฝากกับจำเลยในเวลา 1 ปี เมื่อครบกำหนดนางสาวทัศนีย์ก็ไม่ได้ไถ่ถอนการขายฝาก
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามโฉนดที่ดินปรากฏทางทะเบียนว่ามีชื่อนายบุญส่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างร่วมกับนายบุญส่ง นายบุญส่งยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นางสาวทัศนีย์ทั้งแปลงโดยไม่ชอบ และนางสาวทัศนีย์นำไปขายฝากกับจำเลยแล้วไม่ไถ่ถอน ทำให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตกเป็นสิทธิขาดแก่จำเลย แต่โจทก์ฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์จากจำเลยกึ่งหนึ่งโดยมิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนให้ระหว่างนายบุญส่งกับนางสาวทัศนีย์เท่ากับว่าการโอนดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย เมื่อการโอนชอบนางสาวทัศนีย์ย่อมมีสิทธินำไปขายฝากให้แก่จำเลยได้ จำเลยจึงรับซื้อไว้โดยชอบคำขอท้ายฟ้องของโจทก์จึงไม่สามารถบังคับให้ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share